วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ศึกษารามเกียรคิ์

บทที่ ๕
เรื่องศึกษารามเกียรติ์ ตอนสุครีพหักฉัตร

พระนารายณ์ได้อวตารลงมาเป็นพระราม โอรสของท้าวทศรถ มีพระอนุชาชื่อพระลักษณ์ พระพรตและสัตรุด เมื่อพระรามเจริญวัยขึ้นได้อภิเษกกับนางสีดา ส่วนท้าวทศรถทรงชราภาพมากแล้ว จึงคิดจะทำพิธีมอบราชสมบัติให้พระรามครองกรุงอโยธยาแทนตน แต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้ทำพิธียกราชสมบัติ นางไกยเกษีซึ่งเป็นพระมเหสีองค์หนึ่งของท้าวทศรถ ได้ทูลขอให้พระพรตซึ่งเป็นโอรสของตนได้ขึ้นครองเมืองก่อน และให้พระรามออกผนวชเดินป่าเป็นเวลา ๑๔ ปี ท้าวทศรถต้องจำพระทัยยอมทำตามคำขอของนางไกยเกษี เพราะพระองค์เคยให้สัญญาว่า นางขอสิ่งใดก็จะให้ตามคำขอ เพื่อทดแทนที่นางเคยช่วยพระองค์เมื่อครั้งรบกับยักษ์ ปทูตทันต์เพลารถขาด นางไกยเกษีใช้แขนสอดต่างเพลารถ ทำให้ท้าวทศรถรบชนะยักษ์ เมื่อพระรามออกผนวชและเดินป่านางสีดาและพระลักษณ์ขอตามเสด็จไปด้วย ครั้งนั้นนางสำมนักขาน้องสาวของทศกัณฐ์มาพบพระรามก็หลงรัก แต่พระรามปฏิเสธนางสำมนักขาโกรธจึงคิดแก้แค้น และไปทูลให้ทศกัณฐ์ทราบถึงความงามของนางสีดา ทศกัณฐ์จึงให้มารีศแปลงกายเป็นกวางทอง มาลวงนางสีดาและพระราม เมื่อพระรามตามกวางทองไปในป่า ทศกัณฐ์จึงลักพานางสีดาไปไว้ในสวนที่กรุงลงกา พระรามออกตามหานางสีดาได้หนุมาน สุครีพและองคตเป็นทหารเอก มีลิงจากเมืองขีดขินและเมื่องท้าวมหาชมพูเป็นกองทัพ ครั้งนั้นหนุมานใช้หินถมทะเลทำทางให้กองทัพข้ามไปยังเมืองกรุงลงกา เมื่อกองทัพของพระรามไปถึง กรุงลงกาได้ตั้งพลับพลาที่นอกเมือง พระรามให้องคตถือพระราชสาส์นไปถึงทศกัณฐ์ เพื่อขอนางสีดากลับคืน แต่ทศกัณฐ์ไม่ยอมและสั่งให้เสนาเข้าจับองคต องคตจึงฆ่าเสนายักษ์ตายไป ๔ ตน ทำให้ทศกัณฐ์โกรธแค้นและอับอายมาก นึกขึ้นมาครั้งใดก็ยิ่งโกรธเหมือนหัวใจถูกเผาไหม้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์ จึงคิดที่จะนำฉัตรของท้าวจตุรพักตร์(ปู่ของทศกัณฐ์) มาใช้เพื่อการแก้แค้นพระราม
เมื่อปักขึ้นจะทำให้ท้องฟ้าฝ่ายศัตรูมืดมิดมองไม่เห็นฝ่ายตน แต่ฝ่ายของทศกัณฐ์สามารถมองเห็นได้ จากนั้นจะได้ให้ทหารยักษ์เข้าโจมตีทัพของพระรามภายหลัง คิดดังนั้นจึงสั่งให้เสนายักษ์ทำพิธีปักฉัตรของท้าวจตุรพักตร์ โดยจัดพิธีบูชาฉัตรด้วยเครื่องบูชาอันมีอาหารประเภทเนื้อ ปลา เป็นต้นพร้อมด้วยเทียนเงิน เทียนทอง ข้าวตอกดอกไม้ เมื่อได้กำหนดเวลาอันเหมาะสม บรรดายักษก็โห่ร้องทำพิธียกฉัตรขึ้นไว้กลางกรุงลงกา ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดมิดเหมือนเวลากลางคืน
เมื่อเสร็จพิธียกฉัตรแล้ว ทศกัณฐ์ก็ออกจากพิธี เข้าอาบน้ำชำระร่างกายซึ่งปรุงแต่งด้วยเครื่องหอมดอกไม้นานาชนิด เสร็จแล้วแต่งกายด้วยเครื่องทรงอันประกอบด้วยผ้านุ่งที่มีชายผ้าทอด้วยเส้นทอง ตัวเสื้อทำด้วยผ้าพื้นประดับทองเป็นรูปดอกไม้ ผ้าห้อยประดับหน้า เรียกว่าชายไหว ชายแครงประดับด้วยทองคาดเอว ด้วยผ้าที่งดงามยิ่งนัก เครื่องประดับตรงหน้าอกและสายสร้อยล้วนแวววาวด้วยเพชรนิลจินดา สวมมงกุฏแก้วทัดดอกกรรเจียก มีอาวุธครบมือทั้งยี่สิบมือ
แต่งกายเสร็จแล้วก็ชวนนางมณโฑออกไปดูความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เหล่านางสนมทั้งหลายก็ตามมาด้วย ทศกัณฐ์และเหล่านางสนมก็มาถึงที่นั่งใต้ฉัตรแก้ว บริเวณนั้นก็สว่างไสวไปด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ เพื่อรอดูทัพของพระรามที่กำลังยกมา นางมณโฑซึ่งเป็นเมียของทศกัณฐ์มองเห็นกองทัพของพระราม ซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตารมา ก็สังเกตเห็นว่าทหารที่ยกมานั้นมากมายแน่นขนัด ล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือเก่งกล้าสามารถทั้งสิ้น ได้แก่ สุครีพ ชมพูพาน หนุมาน
องคต ซึ่งล้วนทราบดีว่าเป็นเทวดาลงมาเกิดทั้งนั้น เขาเหล่านี้มีความสามารถที่จะยกสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ สามารถพลิกมหาสมุทรหรือพลิกแผ่นดินได้อย่างง่ายดาย นางมณโฑนั้นตกใจจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี จึงหันมาบอกกับทศกัณฐ์ว่า สองพี่น้อง คือพระรามกับพระลักษณ์นั่นเป็นโอรสของท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยา เป็นหลานของท้าวอัชนา ซึ่งมีฤทธิ์เดชและศรอันศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดิน นางมณโฑขอร้องทศกัณฐ์ให้คิดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำศึกกับทัพของพระราม
เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินก็ยิ้มแล้วตอบไปว่า อย่ากลัวไปเลย เพราะทศกัณฐ์นั้นก็ได้ชื่อว่ามีฤทธิ์เดชเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสิบทิศ ว่าไม่มีใครสู้ได้จะไปกลัวทำไมกับมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว เหมือนตัวไรตัวหนึ่งเพียงแต่ใช้พลทหารยักษ์ออกไปปราบพวกลิงป่าเหล่านั้นก็จะตกเป็นเหยื่อถูกยักษ์จับเคี้ยวกินจนหมดภายในพริบตา
ฝ่ายกองทัพลิงของพระรามเห็นท้องฟ้ามืดมิดไปหมดเหมือนเป็นเวลากลางคืน เป็นที่น่าแปลกประหลาดเช่นนั้นต่างก็ตกใจร้องเรียกหากันดังลั่น บ้างก็วิ่ง บ้างก็คลานวุ่นวายไปหมด ต่างตกใจแทบสิ้นสติ พระรามซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าทหาร เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดมิดและเหล่าทหารลิงชุลมุนวุ่นวายดังนั้น ก็คิดสงสัยคิดว่าเป็นกลอุบายของศัตรู ยิ่งคิดก็ยิ่งประหลาดใจจึงถามพิเภกถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น พิเภกจึงตอบว่าสาเหตุเกิดจากฝ่ายของทศกัณฐ์คิดจะลอบโจมตีกองทัพของพระราม จึงให้ยกฉัตรวิเศษบังแสงอาทิตย์ไว้ให้ฝ่ายกองทัพของพระรามมองไม่เห็นกองทัพยักษ์ แต่พวกยักษ์จะมองเห็นกองทัพของพระรามอได้อย่างชัดเจน และยังบอกอีกว่าฉัตรดังกล่าวเป็นฉัตรของท้าวจตุรพักตร์ ปู่ของทศกัณฐ์ ให้ไว้อยู่คู่กรุงลงกา
ดังนั้นจึงควรรีบแก้ไขโดยให้ผู้ที่เก่งกล้าสามารถไปหักฉัตรเสียโดยเร็ว พระรามเมื่อได้ฟังพิเภกบอกดังนั้น จึงถามเหล่าทหารมีใครกล้าไปหักฉัตรของ
ทศกัณฐ์บ้าง สุครีพซึ่งเป็นลูกของพระอาทิตย์เมื่อได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่าเมื่อครั้งก่อนหนุมานเป็นผู้อาสานำแหวนไปถวายนางสีดา ส่วนองคตก็อาสานำสาส์นไปถวายทศกัณฐ์เพื่อทวงนางสีดา มาครั้งนี้ตนอาสาไปหักฉัตรเอง พระรามเห็นสุครีพอาสาด้วยความเต็มใจ ดังนั้นจึงกล่าวอวยพรอย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเมตตา ว่าสุครีพเป็นผู้ที่มีความสามารถขอให้ประสบความสำเร็จกลับมา
เมื่อสุครีพรับพรจากพระรามแล้วก็รีบออกมาแสดงอิทธิฤทธิ์เสียงดังไปทุกทิศแล้วเหาะไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เหมือนพายุเพียงแค่ดีดนิ้วมือ ก็มาถึงกรุงลงกา มองเห็นฉัตรตั้งอยู่กลางเมือง ส่วนทศกัณฐ์นั้นนั่งอยู่ท่ามกลางบรรดานางสนมและเหล่าเสนายักษ์ สุครีพจึงคิดได้ว่าถ้าจะเข้าไปหักฉัตรทันทีด้วยวิธีธรรมดาคงต้องเกิดการต่อสู้ล้มตายเป็นศึกใหญ่แน่นอน และอาจทำให้เสียงานที่ได้รับมอบหมายมาก็ได้ คิดได้ดังนั้นจึงร่ายมนตร์บังตากำบังร่างกายไว้ แล้วเนรมิตร่างกายให้ใหญ่เท่าภูเขา เหล่าทหารยักษ์ไม่สามารถมองเห็นร่างกายของสุครีพ สุครีพจึงเดินผ่านเสนายักษ์ไปได้อย่างสบาย
พระเสื้อเมืองประจำกรุงลงกา พอมองเห็นลิงตัวใหญ่เท่าภูเขา สูงเทียมฟ้า ดังนั้นก็ตกใจแทบสิ้นสติ กลัวความตายจนตัวสั่น ไม่กล้าแม้แต่มองหน้าสุครีพ ใช้มือปิดตาหนีลนลานจากเมืองไปให้ไกลสุดโลก เมื่อสุครีพกำบังกายเดินมาถึงบริเวณปักฉัตร ยืนอยู่หน้าทศกัณฐ์ จากนั้นจึวร่ายเวทย์เพื่อคลายมนตร์กำบังกายกวัดแกว่งพระขรรค์ไปมา แล้วชี้หน้าทศกัณฐ์พร้อมประกาศว่าทศกัณฐ์นั้นเก่งมากที่คิดจะทำศึกกับพระราม ซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตาร ถ้าเก่งจริงทำไมจึงไม่กล้ามาต่อสู้ หรือเกรงกลัวศรพระราม ตัวสุครีพเองก็เป็นผู้ที่พระรามใช้ให้มาจับตัวผู้ที่คิดและบังอาจกระทำการร้ายครั้งนี้ เพื่อสั่งสอนให้เข็ดหลาบ
เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินดังนั้นก็โกรธมากพร้อมกระทืบเท้า แล้วร้องตวาดเสียงดังลั่นว่า สุครีพนั้นโง่ที่หลงตนเองว่าเก่ง อีกทั้งไม่อายที่ไปยกย่องมนุษย์และอวดอ้างว่าเป็นพระนารยณ์อวตาร ทศกัณฐ์นั้นไม่ได้กลัวเลย แม้พาลีก็ยังถูกฆ่าตายมาแล้ว ดังนั้นสุครีพอวดกล้ามาต่อสู้กับตนแล้วก็ไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้ สุครีพก็รีบตอบทศกัณฐ์ทันทีเช่นกันว่า ถึงแม้ทศกัณฐ์จะมีถึงยี่สิยมือ ก็อย่าอวดเก่งต่อสู้กับพระรามเลย ตัวสุครีพเองซึ่งเป็นทหารของพระรามจะขอต่อสู้ก่อน เพื่อไม่ให้เดือดร้อนถึงพระราม กล่าวดังนั้นแล้วก็กระทืบเท้าลั่นทำให้กรุงลงกาสะเทือนเหมือนกำลังจะจมลงใต้มหาสมุทร แกว่งพระขรรค์เหาะขึ้นไปบนฉัตร
ฝ่ายนาสนมกำนัลยักษ์ทั้งหลาย เห็นสุครีพบุกรุกเข้ามาดังนั้น ก็ตกใจหนีกันวุ่นวาย ต่างล้มลุกคลุกคลานตะเกียกตะกายหนีหน้าซีดตัวสั่น บ้างก็กอดทศกัณฐ์ บ้างก็กอดตามกงฉัตรไว้แน่น ต่างหวีดร้องเรียกหากัน บ้างก็แขนหัก ขาหัก ร้องไห้แทบสิ้นสติ ส่วนทศกัณฐ์นั้นไม่รู้จะต่อสู้กับสุครีพท่าใด เพราะเหลือเพียงข้างเดียวที่พอจะจับอาวุธสู้ได้ จึงวิ่งวนไปตามกงฉัตรมือหนึ่งก็กอดนางมณโฑไว้ อีกมือหนึ่งก็กอดนางอัคคีไว้ ส่วนอีกสิบเจ็ดมือก็อุ้มนางสนมกำนัลไว้ ดังนั้นมือข้างเดียวที่เหลือก็ได้แต่แกว่งพระขรรค์ไปมา เมื่อสุครีพเห็นทศกัณฐ์ทำท่าสู้พลางถอยพลาง จึงรีบรุกจู่โจมใช้เท้าขวาถีบถูกทศกัณฐ์จนเซไป แล้วเข้าประชิดตัวแกล้งจู่โจมทำท่าว่าจะแย่งนางมณโฑไป ครั้นพอเข้าไปใกล้ก็แกล้งคว้าผิดคว้าถูก พร้อมกับหัวเราะเยาะเย้ยไปด้วย ทศกัณฐ์นั้นไม่มีจิตใจที่จะต่อสู้ เพราะมือทั้งสิบเก้ามัวแต่ระวังนางสนมกำนัล มีเพียงมือข้างเดียวที่จับพระขรรค์ต่อสู้ ครั้นจะฟันจะแทงก็ไม่ถนัด ได้แต่ป้องกันตัวพร้อมกับถอยหนีวุ่นวาย สุครีพต่อสู้อย่างเต็มที่จนเข้าประชิดตัวทศกัณฐ์ได้ ทั้งฟันทั้งแทงถูก
ทศกัณฐ์ไปหลายครั้ง ตั้งใจจะฆ่าให้ตาย
ทศกัณฐ์ต่อสู้ด้วยมือเพียงข้างเดียวจนแทบหมดแรง อีกทั้งได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลจึงคิดถอย ฝ่ายสุครีพเมื่อเห็นทศกัณฐ์เสียที จึงใช้เท้าถีบทศกัณฐ์ไว้แล้วเหาะขึ้นกลางอากาศ โน้มฉัตรลงมาแล้วหักฉัตรทันที ทสกัณฐ์และนางสนมต่างล้มกลิ้งบนพื้น ร้องเสียงดังลั่นไปหมด เมื่อฉัตรแก้วพังพินาศลง
ดังนั้นอากาศทั้งฝ่ายกองทัพของพระรามก็พลันแจ่มใสขึ้นทันทีเช่นกัน สุครีพใช้เท้าขวาคีบมงกุฏของทศกัณฐ์ไว้ แล้วร้องเยาะเย้ยให้ได้อายว่าตนจะฆ่าทศกัณฐ์เสียก็ได้ แต่เกรงว่าจะเป็นการกระทำที่นอกเหนือจากคำสั่งของพระราม ดังนั้นตนจึงขอนำมงกุฎไปถวายแทน จากนั้นก็เหาะกลับไปยังที่ประทับของพระรามทันที
เมื่อไปถึงก็เข้าเฝ้าแล้วรายงานให้พระรามทราบ ว่าตนได้อาสาไปหักฉัตรกรุงลงกานั้น ได้ทำการสำเร็จแล้ว และได้ต่อสู้กับทศกัณฐ์ แต่ไม่กล้าฆ่าเพราะเกรงว่าจะเป็นการกระทำโดนพลการ จึงได้แต่เพียงนำมงกุฎของทศกัณฐ์มาถวายเท่านั้น เมื่อพระรามได้ฟังและเห็นมงกุฎของทศกัณฐ์ที่สุครีพนำมาถวายก็ดีใจกล่าวชื่นชมสุครีพที่อาสาไปหักฉัตร แล้วทำได้สำเร็จในครั้งนี้นับว่าเป็นผู้มีความสามารถมาก สมกับได้ชื่อว่าเป็นลูกพระอาทิตย์ ชื่อเสียงจะเลื่องลือกันไปทั่วสามโลก คือ สวรรค์ มนุษย์และบาดาล กล่าวจบก็ชวนพระลักษณ์เดินเข้าไปที่ประทับ

แบบคำถามท้ายเรื่อง

คำชี้แจง สำหรับนักเรียนฝึกตอบคำถามหลังจากอ่านจบเรื่องแล้ว

๑. เพราะเหตุใดพระรามจึงยกทัพมากรุงลงกา
๒. ทำไมทศกัณฐ์ จึงโกรธแค้นพระรามมาก
๓. ทศกัณฐ์ใช้แผนการรบกับพระรามอย่างไร
๔. อานุภาพของฉัตรแก้ว เป็นอย่างไร
๕. สุครีพเข้ากรุงลงการ โดยวิธีใด
๖. ทำไมทศกัณฐ์ จึงต่อสู้กับสุครีพไม่ได้
๗. สุครีพนำสิ่งใดมาถวายพระราม ที่แสดงถึงชัยชนะ
๘. พระรามชมเชยสุครีพ ว่าอย่างไร


บรรณานุกรม

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๖). หนังสือเรียนภาษาไทย
ชุด พื้นฐานภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ:
คุรุสภาลาดพร้าว.
ณัฐิณา โตประเสริฐพงศ์. (ม.ป.ป.). คู่มือเตรียมสอบภาษาไทย ป.๕ – ๖
กรุงเทพฯ: เนรมิตการพิมพ์.
ราชบัณฑิตย์สถาน. (๒๕๔๖). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์.

ไม่มีความคิดเห็น: