วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ฝันถึงพลายบุญมา

เรื่อง ฝันถึงพลายบุญมา

เรื่อง ฝันถึงพลายบุญมา

ในจังหวัดสุรินทร์มีการเลี้ยงช้างอยู่กระจัดกระจายออกไปในหลายอำเภอ แต่ที่ทำชื่อเสียงให้จังหวัดสุรินทร์ เป็นที่รู้จักของขาวโลกมากที่สุดก็ได้แก่”หมู่บ้านช้าง” ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านตากลาง อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ หมู่บ้านช้างมีแม่น้ำมูลไหลผ่าน ดังนั้นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่เรียงรายไปตามฝั่งแม่น้ำมูล ซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีช้างเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ใช้งานอยู่คู่บ้านมาช้านาน
บุหงาอยู่บ้านขวาวโค้ง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่กันคนละฝั่งกับหมู่บ้านช้าง หมู่บ้านของบุหงาจะอยู่ฝั่งทางทิศเหนือ ส่วนหมู่บ้านช้างจะอยู่ฝั่งทางทิศใต้ของแม่น้ำมูล ดังนั้นทั้งสองฝั่งแม่น้ำมูลจึงเหมาะกับการเลี้ยงกับการเลี้ยงช้าง ซึ่งชาวบ้านได้อาศัยแรงงานช้างช่วยทำงานได้สารพัด เช่นทำสวน ทำไร่ ชักลาก ลากซุง บรรทุกสิ่งของและทำนาก็ได้ นอกจากนั้นยังใช้ช้างเป็นพาหนะ ร่วมขบวนแห่ประเพณีต่าง ๆ ในชุมชนนั้น เช่นงานแห่นาค หรืองานฉลองต่าง ๆ อีกด้วย

ปู่และพ่อของบุหงาก็มีช้างที่ได้เลี้ยงสืบทอดกันมาช้านาน พ่อบอกว่าเจ้าพลายบุญมาเป็นลูกของช้างค่อม ซึ่งปู่เคยเลี้ยงมาก่อนหน้านี้ บุหงาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าพลายบุญมามีอายุเท่าไร เพราะตั้งแต่บุหงาเกิดมาก็เห็นพลายบุญมาจนถึงบัดนี้ พ่อสอนให้บุหงาเรียกชื่อพลายบุญมา และหัดพูดออกคำสั่งให้พลายบุญมายกขาหน้า คุกเข่าบ้าง เก็บของบ้างแล้วแต่โอกาสจนบุหงาและพลายบุญมาคุ้นเคยกัน บุหงารักพลายบุญมามากพอ ๆ กับความใหญ่โตของมันเลยทีเดียว บางครั้งหลังจากที่เลิกใช้งานพลายบุญมาแล้ว พ่อจะพาบุหงาขึ้นขี่คอพลายบุญมาเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้านเป็นที่สนุกสนานหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ จนทำให้บุหงาคิดว่าพลายบุญมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว ก่อนสว่างทุก ๆ วันพลายบุญมาใช้ลำตัวของมันถูกับเสาเรือน เหมือนจะคอยเตือนพวกเราว่าสว่างแล้ว ให้รีบพากันตื่นไปทำงานกันตามหน้าที่ของตนได้แล้ว และก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทุกคนจะตื่นแต่เช้ามืด พ่อจะปล่อยพลายบุญมาออกจากที่ล่ามโซ่ แล้วขี่คอพลายบุญมาออกไปกินน้ำที่ฝั่งแม่น้ำมูล ก่อนที่จะพาพลายบุญมาไปทำงานรับจ้างในงานไร่ในสวนเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งก็เป็นรายได้อีกส่วนหนึ่งที่มาจุนเจือครอบครัวของเรามิได้ขาด แม่และน้องช่วยกันจัดของ ขนของขึ้นรถซึ่งประดิษฐ์จากรถมอเตอร์ไซด์กับรถเข็น กลายเป็นรถสามล้อเร่ขายของไปตามหมู่บ้าน
ส่วนบุหงาจะทำหน้าที่หุงข้าว ทำกับข้าวไว้รอพ่อกับแม่และน้อง ๆ ซึ่งเมื่อกลับมาจากขายของ จะได้กินกันทุกคนในครอบครัวของบุหงาจะปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตรตลอดมา จะไม่มีใครเกี่ยงงานทุก ๆ คนจะช่วยกันทำงานตามหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบจนงานสำเร็จ บุหงานึกถึงบทเรียนภาษาไทยบทที่ ๔ ในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ คุณครูสอนเรื่องอยู่กันอย่างไรให้เป็นสุข คุณครูต้องการปลูกฝั่งและฝึกหัดให้นักเรียนทุกคนเป็นคนดี ช่วยเหลือพ่อ แม่ รู้จักการทำงานมีความรับผิดชอบ ทำงานตามหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จแล้วรู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเอง ไม่เป็นคนเกียจคร้านหรือเกี่ยงงาน ซึ่งจะทำให้ครอบครัว
ชุมชน หรือสังคมนั้นอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ตกเย็นวันหนึ่งปู่มาที่บ้านของพ่อแล้วแจ้งให้ทราบว่า ทางชมรมผู้เลี้ยงช้างจังหวัดสุรินทร์ ให้ผู้ที่เลี้ยงช้างนำช้างของตนเองไปร่วมคัดเลือก เพื่อเข้าแสดงในงานช้างซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวจังหวัดสุรินทร์ ที่จะจัดขึ้นกลางเดือน
พฤศจิกายน ๒๕๔๖ มีการแสดงของช้างให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้ชมกันในครั้งนี้จะมีการบันทึกในหนังสือระดับโลกด้วย ซึ่งจัดยิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา ปู่บอกว่าปีนี้ที่หมู่บ้านของเราน่าจะมีช้างที่ได้ไปแสดงในงานกันหลายเชือก ปู่พูดต่อไปอีกว่า พลายบุญมากำลังหนุ่มพอดี มีท่าทางสง่างาม มีไหวพริบว่องไวกว่าช้างตัวอื่น ๆ ที่ปู่เคยเห็น บุหงาบอกกับพ่อว่าปีนี้อยากไปดูช้างแสดงด้วย แม่และน้อง ๆ ก็สนับสนุนอีกแรงหนึ่ง พ่อไม่พูดอะไรเพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น
ทั้งปู่และพ่อก็ยิ้มด้วยความมั่นใจกับพลายบุมา หากมันรู้และเข้าใจภาษาคนที่ปู่กับพ่อคุยกันอยู่บนเรือน มันคงภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง บุหงาชะเง้อหน้าไปมองข้าง ๆ บ้านเห็นมันยืนหลับตา สะบัดใบหูอันใหญ่ทั้งสองข้างไล่ยุงอยู่ไปมา บุหงาหันกลับมาก็เห็นปู่ลงจากเรือนไปเสียแล้ว พอถึงเดือนพฤศจิกายน หมู่บ้านขวาวโค้งของเราเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จเร็วกว่าปกติ ปู่กับพ่อนั้นแล้วเสร็จก่อนใคร ๆ เพราะรู้ดีว่าปีนี้ต้องนำพลายบุญมาและช้างตัวอื่น ๆ ไปร่วมพิธีต้อนรับช้างทั่วสารทิศในเขตจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งทางจังหวัดจะจัดโต๊ะอาหารเลี้ยงช้าง โดยการนำอาหาร ประเภทพืชผักผลไม้นานาชนิด มาจัดตกแต่งอย่างสวยงาม ผลไม้บางชนิดถูกแกะสลักเป็นลวดลายด้วยความประณีต ดูสวยงามจับใจมีการประกวดการจัดโต๊ะอาหารเลี้ยงช้างในครั้งนี้ด้วยพืชผัก ผลไม้ ได้รับการตั้งชื่อใหม่อย่างไพเราะ คล้องจองกัน เช่นแตงกวา ซึ่งในงานเลี้ยงช้างเขาจะเรียกว่า เขียวละออ ส่วนแตงโมจะเรียกกันว่า แดงเนื้อใน แม้แต้กล้วยน้ำหว้า ก็เรียนว่า เจ้าเนื้อนวล รวมทั้งอ้อยที่ช้างชอบกินก็เรียกว่า ข้อล่ำซำ เป็นต้น ทั้งอาหารอื่น ๆ อีกมากมายเลี้ยงช้างทุกตัวอย่างอิ่มหนำสำราญโดนทั่วกัน พ่อล่ามพลายบุญมาไว้ด้วยโซ่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งกลางทุ่งนา อยู่ถัดไปก็จะเห็นช้างตัวอื่น ๆ ที่ชาวบ้านนำมาล่ามไว้ให้กินใบไม้และตอซังที่ชาวนาเกี่ยวข้าวไปแล้ว เรียงรายกันเต็มไปหมด บุหงามองออกไปนอกหน้าต่างของโรงเรียนก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน พลายบุญมาของบุหงาดูสง่างาม มีงาทั้งสองข้างยาวเหมือนมีดดาบ ใบหูกว้างใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ มีงวงที่อวบอิ่มและแผงหางดกดำเส้นยาวเป็นพิเศษ บุหงาไม่ลืมที่พ่อสั่งไว้ว่า พักเที่ยงให้บุหงาไปเปลี่ยนที่ล่ามเจ้าพลายบุญมาด้วย ส่วนพ่อจะเข้าไปแจ้งกับทางอำเภอพร้อมกับเพื่อนบ้าน เรื่องการที่จะนำช้างไปร่วมงานที่จังหวัดสุรินทร์
ภาพที่เห็นเป็นปกติหลังฤดูเกี่ยวคือนักเรียนโรงเรียนบ้านขวาวโค้งหลายคนพากันวิ่งไปหาช้างของตนเอง และสามารถออกคำสั่งให้ช้างเดินหน้า ถอยหลังหรือทำตามคำสั่งต่าง ๆ ได้ ถ้าเป็นนักเรียนชายก็จะสามารถขึ้นขี่คอช้างได้อีกด้วย บุหงาเปลี่ยนที่ล่ามให้พลายบุญมาไปกินใบไม้ต้นอื่นที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก บุหงาพูดกับพลายบุญมาว่า พรุ่งนี้แล้วซินะจะได้ไปแสดงในงานช้างที่จังหวัดสุรินทร์กับแม่และน้อง ๆ จะไปเป็นกำลังใจให้เจ้าด้วยจ๊ะ
บุหงานึกถึงหน้าที่อันสำคัญและน่าภาคภูมิใจกว่าใครของพลายบุญมาที่จะได้ไปร่วมงานแสดงงานประจำปี ให้ชาวต่างชาติที่มาจากทั่วโลกได้เห็น บุหงานึกชื่นชมเจ้าพลายบุญมาของเขาเป็นอย่างยิ่งที่ได้ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติครั้งนี้ ช่างยิ่งใหญ่สมกับตัวของมันจริง ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้บุหงาเปรียบเทียบพลายบุญมาซึ่งเป็นเพียงสัตว์เท่านั้น ยังจับมาสอนได้จนรู้จักเชื่อฟัง เจ้าของไม่เลือกนาย ไม่เลือกงาน คอยรับใช้และช่วยเหลือครอบครัวของบุหงาโดยตลอด แม้แต่เงินทุนที่บุหงาและน้อง ๆ ที่ใช้เรียนต่อ ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงงานและค่าตัวของพลายบุญมา ที่เขาจ้างให้มาแสดงในงานช้างนั่นเอง
พวกเราเป็นนักเรียนและที่สำคัญเราเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐกว่าพลายบุญมาก็ควรจะรู้หน้าที่ของตนเอง ตั้งใจทำหน้าที่ในการศึกษาเล่าเรียน ขยันหมั่นเพียร ไม่เป็นคนเกียจคร้าน รักการทำงานและอาสางาน ช่วยเหลือครอบครัว ช่วยเหลือโรงเรียนจะได้ชื่อว่า เป็นการช่วยเหลือประเทศชาติบ้านเมืองในที่สุด แล้ววันนั้นก็มาถึง แม่บอกบุหงาให้เตรียมกระเป๋าและของใช้เท่าที่จำเป็นตั้งแต่เช้า รถกระบะที่ปู่กับพ่อร่วมกันกับเจ้าของช้างตัวอื่น ๆ เช่าเหมาเอาไว้ติดเครื่องรออยู่แล้ว บุหงาและน้อง ๆ รู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้ไปเห็นเมืองสุรินทร์ ซึ่งเป็นจังหวัดของตนเอง บุหงาเคยได้อ่านและท่องคำขวัญของจังหวัดสุรินทร์ที่คุณครูสอนไว้ว่า “สรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม” ซึ่งวันนี้บุหงาจะได้เห็นจังหวัดสุรินทร์จริง ๆ เสียที่ บุหงาจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย ธงชาติ ธงสี ไฟประดับประดา ป้ายประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เห็นอยู่เรียงรายตลอดแนวสองข้างทางไปจนถึงบริเวณจัดงาน ณ.บริเวณสนามกีฬากลางประจำจังหวัดสุรินทร์ มีร้านค้า ร้านขายของกินของใช้ ชิงช้า ม้าหมุน เครื่องเด็กมากมาย นอกจากนี้ยังมีร้านแสดงสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของทุก ๆ อำเภอมารวมกัน เป็นที่ตื่นตาตื่นใจซึ่งแต่ละอำเภอจัดไว้อย่างสวยงาม บุหงาและน้อง ๆ ต่างชี้ชวนให้กันดูแล้วหันมายิ้มให้กันอย่างเป็นสุข แม่จูงมือบุหงากับน้องแล้วบอกว่า “อย่ามัวเพลินอยู่เลย รีบไปดูพลายบุญมาแสดงในงานจะดีกว่า” บุหงามองแต่ไกลเห็นขบวนช้างมากมาย นั่นต้องเป็นขบวนช้างศึกตัวที่เดินนำหน้า บุหงาจำได้พลายบุญมานั่นเอง ประดับประดาไว้อย่างสมจริงเหมือนช้างศึกในพระบาทสมเด็จพระเจ้านเรศวรมหาราช ที่บุหงาเคยเห็นในหนังสือเรียนไม่มีผิด เมื่อขบวนผ่านมาใกล้ ๆ บุหงาและน้อง ๆ ปรบมือพร้อม ๆ กับผู้ชมเสียงดังกึกก้อง ไม่รู้ว่าพลายบุญมากับพ่อจะได้ยินหรือเปล่า ในช่วงบ่ายเป็นการแสดงช้างแสนรู้ ช้างชักคะเย่อ ช้างวิ่งเก็บของ ช้างสวัสดี ช้างเต้นรำ ช้างวิ่งเปียว ช้างเดินข้ามคนและช้างเตะฟุตบอล พลายบุญมาแสดงได้อย่างคล่องแคล่วเป็นที่ถูกใจของผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง บุหงาแอบยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ สมแล้วที่ปู่กับพ่อได้ฝึกฝนมาเป็นแรมปี
การแสดงชุดสุดท้ายเป็นการแสดงการอำลาท่านผู้ชมในงาน เป็นที่ประทับใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก เสมือนหนึ่งว่าบรรดาช้างและเจ้าของช้างฝากความคิดถึงทุก ๆ คน ปีหน้าฟ้าใหม่หวังว่าคงได้มาพบกันอีก บรรยากาศในขณะนั้นทั้งผู้ชมและช้างต่างก็มีความรัก ความผูกพันต่อกันและกัน แต่ก็ต้องจากกันไปในที่สุดของการแสดงนั่นเอง
บุหงารู้สึกภาคภูมิใจและปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด ที่ได้เกิดมาเป็นคนสุรินทร์ พลายบุญมาก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสุรินทร์ และประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของชาวโลกด้วยเช่นกัน
เสร็จจากงานช้างครอบครัวของบุหงา ก็ดำเนินชีวิตเหมือนเช่นเคยย่างเข้าหน้าแล้งแล้ว ปู่กับพ่อปรึกษากันว่าจะต้องพาพลายบุญมาไปรับจ้างหาเงินที่กรุงเทพฯ หากยังอยู่กันอย่างนี้คงไม่มีอะไรจะกินและใช้จ่ายภายในครอบครัว ทั้งคนทั้งช้างอาจจะอดตายในหน้าแล้งที่จะมาถึงก็เป็นได้ ปู่บอกว่าเพื่อนบ้านเราหลายคนพาช้างไปเดินตามถนนต่าง ๆ ที่กรุงเทพ ฯ ให้นักท่องเที่ยวหรือคนในเมืองช่วยซื้ออ้อย แตงกวา และแตงโมจากเจ้าของช้างให้ช้างกิน ได้เงินมาสร้างบ้านหลังใหม่กันก็มี บุหงาอดสงสารไม่ได้ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นด้วย ปู่พูดต่อไปว่า สมัยที่ปู่เลี้ยงช้างนั้นสองฝั่งแม่น้ำมูลเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี มีต้นไผ่ขึ้นแน่นขนัด ทั้งใบไผ่และหน่อไม้เป็นอาหารที่ช้างชอบมากที่สุด ช้างจะหากินเองทั้งวัน เวลามันร้อนและหิวน้ำ มันก็จะลงไปกินน้ำในแม่น้ำมูล ตกตอนเย็นเจ้าของช้างจึงจะนำช้างกลับมาล่ามโซ่ไว้ที่บ้าน หลายสิบปีผ่านไปป่าไม้สองฟากฝั่งแม่น้ำมูลถูกพวกนายทุนบุกรุกถากถางทำไร่ ทำสวนและมีกลุ่มคนย้ายถิ่นฐานมาอยู่อาศัยกันมากขึ้น ทำให้ป่าไผ่ หน่อไม่ที่เคยอุดมสมบูรณ์หมดไปในที่สุด เป็นสาเหตุให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของช้างและคนเลี้ยงช้างเปลี่ยนไป เมื่อช้างไม่มีอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คนเลี้ยงช้างจึงต้องนำช้างออกเร่หาเงินตามเมืองใหญ่ ๆ เพื่อความอยู่รอดในการดำรงชีวิตทั้งคนและช้างกันต่อไป
บุหงานึกสงสารพลายบุญมาที่ต้องจากบ้านจากแม่น้ำมูล จากทุ่งหญ้า ท้องฟ้าที่มีอากาศบริสุทธิ์ เพราะความเห็นแก่ได้และเห็นแก่ตัวของมนุษญย์นั่นเองที่ไม่เห็นความสำคัญของป่าไม้ จึงไม่ช่วยกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นของส่วนรวมจนเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวของบุหงาและพลายบุญมา ต้องพบกับปัญหาจนเท่าทุกวันนี้
หลายเดือนแล้วที่พลายบุญมาและพ่อจากบ้านไปหาเงินที่กรุงเทพฯ บุหงานึกถึงภาพของพลายบุญมากับพ่อ ที่ต้องเดินป่าเปลวแดดบนถนนคอนกรีตแล้วตระเวนไปในย่านชุมชนต่าง ๆ บุหงารู้ว่าอากาศในกรุงเทพ ฯ โดยเฉพาะปลายเดือนเมษายนอากาศจะร้อนอบอ้าวมากที่สุด
พลายบุญมาต้องเดินเท้าเปล่าทั้งวัน มันคงร้อนและทรมานเป็นที่สุด บุหงานอนคิดพ่อกับพลายบุญมาทุกคืน ก่อนสว่างบุหงาไม่ได้ยินเสียงพลายบุญมาถูเสาเรือนมานานแล้ว บุหงาได้แต่ถามแม่ว่า ตำรวจจะจับพ่อกับพลายบุญมาหรือเปล่า เพราะคุณครูเล่าให้ฟังเสมอว่า ปัจจุบันนี้ทางตำรวจห้าไม่ให้นำช้างไปเดินเร่หาเงิน หรือเกะกะอยู่บนท้องถนนเด็ดขาด โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ ๆ อย่างกรุงเทพฯ เพราะกีดขวางทางจราจรและเป็นการทรมานสัตว์ด้วย ควรให้ช้างเหล่านั้นได้ไปอยู่และหากินตามธรรมชาติ หากพบที่ใดเขาจะจับทั้งคนและช้างให้กลับเดิม บุหงาดีใจที่พลายบุญมาจะได้กลับบ้านเสียที แต่ก็รู้สึกเสียใจและสงสารพ่อเช่นกัน
บ่ายวันหนึ่งบุหงามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นก้อนเมฆลอยต่ำสีดำ ก้อนหนึ่งช่างดูคล้าย ๆ กับพลายบุญมา สักครู่ลมร้อน ๆ ก็พัดเอาก้อนเมฆที่เป็นรูปช้างก้อนนั้น กระจายหายไปในอากาศ
บุหงาได้ยินเสียงรถวิ่งมาหยุดตรงกลางสี่แยกของหมู่บ้าน เสียงคนพูดกันดังโวกเวก ทักทายกันด้วยความดีใจ บุหงาหันไปดู จำได้ว่าเป็นรถขนช้างประจำหมู่บ้าน บุหงาดีใจมากไม่นึกว่าพ่อจะกลับมาในวันนี้ บุหงาตะโกนเรียกพ่อด้วยความดีใจแล้วรีบวิ่งไปหาพ่อทันที พ่อมองบุหงาด้วยสีหน้าแปลก ๆ จนบุหงาอดสงสัยไม่ได้ บุหงามองไปยังท้ายรถคันนั้นก็ไม่เห็นมีช้างสักตัว บุหงาจึงหันไปถามพ่อว่า”พลายบุญมาไม่ได้กลับมาพร้อมกับพ่อหรือคะ” พ่อลูบหัวบุหงาเบา ๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “เจ้าพลายบุญมาตายแล้ว” พ่อเล่าว่าพลายบุญมาเดินไปตกท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ ขาหน้าได้รับบาดเจ็บจนเป็นแผลอักเสบอย่างรุนแรง หมอบอกว่าเป็นบาดทะยัก หลังจากนั้นก็ไม่สามารถเดินไปไหนได้ พลายบุญมาไม่ยอมกินอะไรเลย ผอมโซจนยืนไม่ไหว ในที่สุดก็ขาดใจตาย น้ำตาของบุหงาไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่รู้ตัว หัวใจตีบตันไปหมด อยากให้เสียงร้องของบุหงาดังก้องไปกับลำน้ำมูล บอกให้พลายบุญมากลับมาอยู่ด้วยกัน มาทำหน้าที่ช้างแสนรู้เหมือนเมื่อก่อน ฉันและน้อง ๆ ยังเรียนไม่จบ อีกทั้งงานช้างจังหวัดสุรินทร์ก็ยังรอเจ้าอยู่ พลายบุญมาเจ้าไปอยู่ที่ไหน กลับมาเถิดเจ้ายังตายไม่ได้ บุหงารำพึง
ต่อไปนี้หมู่บ้านขวาวโค้งจะไม่เห็นพลายบุญมาอีกแล้ว บุหงาทรุดตัวนั่งร้องไห้โฮจนสุดเสียง ณ ที่ตรงนั้นนั่นเอง


แบบคำถามท้ายเรื่อง

คำชี้แจง สำหรับนักเรียนฝึกตอบคำถามหลังจากอ่านจบเรื่องแล้ว
๑. พลายบุญมา หมายถึงใคร
๒. ครอบครัวของบุหงา ใช้แรงงานจากสัตว์ชนิดใด
๓. งานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ คืออะไร
๔. คำขวัญของจังหวัดสุรินทร์ ว่าอย่างไร
๕. นักเรียนบอกประโยชน์ของช้างมา ๕ อย่าง
๖. พลายบุญมามีความสำคัญต่อครอบครัวของบุหงาอย่างไร
๗. ทำไมพ่อจึงต้องงพาพลายบุญมาไปกรุงเทพฯ
๘. เพราะเหตุใดพลายบุญมา จึงไม่ได้กลับบ้านพร้อมกับพ่อ
๙. บุหงารู้สึกอย่างไรกับพลายบุญมา
๑๐. นักเรียนอ่านเรื่องนี้แล้ว ได้ข้อคิดจากเรื่องอย่างไร


********************************************

พ่อของฉัน



หนังสือส่งเสริมการอ่าน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕
เรื่อง “พ่อของฉัน”
คุณครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ประกาศหน้าเสาธงทางเครื่องขยายเสียงว่า “สัปดาห์นี้โรงเรียนจะจัดกิจกรรมส่งเสริมภาษาไทย การประกวดเขียนเรียงความและตอบปัญหาเนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งขาติ” พร้อมมีรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศด้วย
คุณครูเปิดโอกาสให้นักเรียนทุก ๆ คน ได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างเต็มที่โดยไม่จำกัดเนื้อหาสาระ เพื่อให้นักเรียนได้คิดและแสวงหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองให้มากที่สุด สาเป็นนักเรียนคนหนึ่งในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ สาคิดถึงพ่อจึงตัดสินใจเขียนเรียงความเกี่ยวกับพ่อเข้าประกวดในครั้งนี้ด้วย สาขึ้นไปอ่านเรียงความให้คุณครูและเพื่อน ๆ ฟังในห้องประชุมของโรงเรียนด้วยเสียงดังชัดเจนว่า “ฤดูหนาวของเดือนธันวาคมลมหนาวพัดโชยมาทั้งกลางวันและกลางคืนหนาวเย็นจับใจ เหมือนลงไปแช่อยู่ในน้ำแข็งอย่างนั้นแหละ ครอบครัวของฉันก็ไม่ต่างจากครอบครัวอื่น ๆ ในหมู่บ้านขวาวโค้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่ยากจนหาเช้ากินค่ำ ขาดแคลนไปทุกอย่างและไม่รู้ว่าจะทนหนาวไปได้อีกนานเท่าไหร่ ฉันอาศัยอยู่กับแม่ตั้งแต่เล็ก ๆ จนถึงวันนี้ ฉันโตเข้าโรงเรียนแล้วและกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนบ้านขวาวโค้ง ฉันยังมีน้องเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนอีกสองคน ฉันเป็นพี่คนโตจึงต้องทำงานทุกอย่าง เพื่อช่วยแม่หารายได้อีกแรงหนึ่ง ฉันยังจำได้ว่าพ่อจากบ้านไป ทิ้งให้ฉันกับแม่และน้อง ๆ ต้องเผชิญชีวิตอย่างลำเค็ญ
ฉันเคยถามแม่ว่า”พ่อไปไหน แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” แม่กอดฉันแล้วพูดปลอบว่า”พ่อของลูกมีคดีติดตัวถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำในจังหวัด อีกไม่นานพ่อคงจะพ้นโทษและกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก” ฉันถามแม่ต่อไปว่า”นานอีกกี่ปีพ่อจึงจะพ้นโทษ แล้วพ่อเป็นอะไรจึงถูกจับไปขังอยู่ในเรือนจำ”
แม่ลูบศีรษะเบา ๆ ด้วยความสงสารและเข้าใจในความรู้สึกของฉัน แม่บอกว่า”พ่อทำร้ายร่างกานผู้อื่นโดยไม่เจตนา แม่เองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักและก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนานกี่ปี นี่ก็หลายเดือนแล้วไม่มีข่าวคราวจากพ่อเลย”
ฉันมองน้องทั้งสองคนซึ่งนอนหนาวอยู่ข้าง ๆ แม่เอาผ้าห่มที่มีอยู่แค่สองผืนเท่านั้นออกมา แม่กับฉันใช้ผืนเก่าสีซีดและบางเต็มที เวลาลมหนาวพัดมาดูเหมือนว่าไม่ได้ห่มผ้าเอาเสียเลย มันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว แม่หยิบผ้าห่มอีกผืนหนึ่งซึ่งค่อนข้างหนาและใหม่กว่าห่มให้น้องทั้งสองคนแล้วหันมาพูดกับฉันเบา ๆ ว่า”นอนเถอะลูกดึกมากแล้ว วันพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน”
เสียงลมพัดหลังคาบ้านที่มุ่งด้วยหญ้าคาเก่า ๆ ซึ่งจวนจะหลุดเต็มทีเสียงดังหวือ ๆ เป็นระยะ ๆ ฉันนอนฟังเสียงลมกระทบหลังคาบ้าน คิดถึงเหตุการณ์ที่แม่เล่าให้ฟัง ทำให้คิดถึงพ่อและสงสารพ่อมากยิ่งขึ้น อยากให้พ่อกลับมาอยู่กับฉันเร็ว ๆ คงจะทำให้ครอบครัวอบอุ่นมากกว่านี้
ฉันพลิกกายหันไปกอดแม่ ซึ่งเป็นทางเดียวที่พอจะคลายหนาวลงไปได้บ้างจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
เช้าวันนี้ลมหนาวยังพัดมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันมองออกไปนอกบ้าน เห็นหมอกสีขาวลอยต่ำติดยอดหญ้า ซึ่งมีน้ำค้างจับใบหญ้าอยู่ทั่วไปยิ่งเพิ่มความรู้สึกให้ฉันหหนาวเหน็บมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องทนเดินฝ่าลมหนาวไปโรงเรียน
ฉันเห็นเพื่อน ๆ หลายคนได้ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหม่สีสวย ๆ แม่บอกว่าพ่อของเขากลับมาจากทำงานรับจ้างตัดอ้อยที่จังหวัดชลบุรี และซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่มาฝาก เพราะเห็นว่าบ้านเราหนาวกว่าทางชลบุรีมาก
แม่บอกฉันว่า รอให้แม่ไปรับจ้างเกี่ยวข้าวที่หมู่บ้านใกล้เคียงเสียก่อน แม่จะพาไปซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่สีสวย ๆ เหมือนเพื่อน ๆ บ้างและคงจะอบอุ่นขึ้นเยอะทีเดียว
ฉันยังคิดว่า หากวันไหนแม่ไปรับจ้างเกี่ยวข้าว ฉันจะไปช่วยแม่อีกแรงหนึ่งจะได้เงินค่าจ้างเพิ่มขึ้นพอที่จะซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ให้กับน้อง ๆ อีกสองคนด้วย ฉันอดคิดถึงพ่อไม่ได้ พ่อก็คงจะหนาวเหมือนกัน ป่านนี้จะเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ ฉันอยากให้เพื่อน ๆ รักและเคารพพ่อให้มาก ๆ เมื่อมีโอกาสก็ควรกระทำตนเป็นเด็กดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ขยันหมั่นเพียร มีความซื่อสัตย์ ประหยัด อดทนและอดออม ให้พ่อได้ชื่นชมเสียแต่วันนี้ก่อนที่จะไม่มีโอกาส
คำว่า”พ่อแห่งชาติ” ประชาชนทั้งประเทศทราบกันดีว่าในหลวงของเราเป็นศูนย์รวมจิตใจ ยากที่ใครจะปฏิเสธได้ดังคำกล่าวที่ว่า “พ่อหลวงของปวงชน หรือพ่อของแผ่นดิน” นอกจากในหลวงของเราจะทรงเป็นผู้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ตกทุกข์ได้ยากและช่วยพัฒนาชาติไทยในทุก ๆ ด้านให้มีความเจริญรุ่งเรืองมั่นคงสืบต่อไปแล้วนั้น ในหลวงของเรายังเปรียบเสมือนพ่อของลูก ๆ ทุกคน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทรงอบรมสั่งสอนประชาชนทุกเมื่อเชื่อวัน ให้ลูก ๆ ทุกคนเป็นคนขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทนและอดออม เป็นผู้มีระเบียบวินัยและที่สำคัญต้องมีความจริงใจต่อกัน ช่วยเหลือสงเคราะห์กันและกัน รู้รักสามัคคีหลอดรวมกันไว้เป็นไทยสืบไป
ส่วนฉันในวันนี้ยังไม่มีโอกาสจะได้เห็นหน้าพ่อผู้ให้กำเนิดเลย อย่างมากฉันก็แสดงความรกและความคิดถึงพ่อด้วยตัวหนังสือที่ส่งถึงกัน ฉันไม่รู้สึกอายหรอกที่เพื่อน ๆ รู้ว่าพ่อของฉันอยู่ที่ไหน เพราะว่าทุก ๆ ปีเมื่อถึงวันที่ห้าธันวาคม หรือวันพ่อแห่งชาติ ฉันมีความหวังเสมอว่าใกล้วันที่จะได้พบกับพ่อผู้ให้กำเนิดฉัน ที่พ้นโทษจากการคุมขังด้วยการได้รับอภัยโทษจากในหลวงของเรา เพื่อน ๆ คงรู้ซินะว่าพ่อของฉันอยู่ที่ไหนและแม้จะรออีกนานสักกี่ปี ฉันก็จะรอพ่อจนถึงวันนั้น คือวันที่ฉันรอคอย วันที่พ่อได้รับอิสรภาพจากการอภัยโทษจากในหลวงเป็นครั้งสุดท้าย วันนั้นฉันจะมีทั้งพ่อ แม่ ลูกอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เป็นครอบครัวที่มีความสุข “พ่อจ๋าฉันจะรอพ่อค่ะ”
สิ้นเสียงอ่านของสา คณะครูและนักเรียนปรบมือเสียงดังก้องไปทั้งห้องประชุม ทุกคนแสดงสีหน้าความเห็นใจและสงสารสาเป็นที่สุด ครูใหญ่มอบรางวัลกล่องใหญ่สีสวยสะดุดตาให้สา พร้อมกับกล่าวชมเชยความสามารถในการเขียนเรียงความ การกล้าแสดงออกและยอมรับสภาพความเป็นจริงของชีวิตโดยไม่น้อยเนื้อต่ำใจใด ๆ เลย จนทำให้เรียงความเรื่อง”พ่อของฉัน” ชนะเลิศการประกวดอย่างภาคภูมิใจสมควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียนทั่วไป
สามองเพื่อนนักเรียนที่มาประชุมกันในงานประกวดเรียงความเนื่องในวันที่ห้าธันวามหาราช สาเหลือบไปเห็นแม่และน้องยืนอยู่หลังสุดของห้องประชุม สาตื่นเต้นมากเพราะแม่ไม่ได้บอกมาก่อนว่าจะมาร่วมงานในวันนี้และแปลกใจมากกว่านั้น สาเห็นชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม่และน้อง สารู้สึกว่าเหมือนเคยรู้จักกับชายคนนี้มานานแสนนานหัวใจของสาเต้นแรง และตื่นเต้นกับภาพที่ปรากฏต่อสายตาตนเอง สาจึงรีบเดินไว ๆ ไปหาแม่และน้อง ๆ ทันที สาโผกอดชายคนนั้นและพูดออกมาโดไม่ลังเลว่า “พ่อจ๋า”ใช่แล้ววันที่สารอคอยก็มาถึงจริง ๆ สายกมือไหว้ท่วมหัวแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นในหลวงยิ้มให้ด้วยความเมตตา รอบ ๆ ในหลวงมีรัศมีของแสงสีเงินสีทองแตกกระจายสว่างไสวไปหมด พ่อได้รับอิสรภาพจากการถูกคุมขังในเรือนจำด้วยพระเมตตาจากในหลวงที่ทรงอภัยโทษให้นั่นเอง
พ่อกลับมาเป็นพ่อที่ดีของครอบครัว กลับตัวกลับใจเป็นคนดีและปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้เคยพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยในตอนหนึ่งว่า”ผู้ที่มีความรู้น้อย แต่มีความซื่อสัตย์ ยังสามารถทำประโยชน์ได้ดีกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความซื่อสัตย์” พ่อประกอบอาชีพตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์ท่าน พ่อขยันขันแข็งทำการเกษตรแบบพอเพียง ทำไร่นาสวนผสม ครอบครัวของสาจึงอยู่พร้อมพร้อมตาพ่อ แม่ ลูก พ้นจากความอดอยากยากจน อยู่อย่างมีความสุขด้วยพระบารมีในหลวงของเราตลอดมา


แบบทดสอบท้ายเรื่อง


คำชี้แจง สำหรับนักเรียนฝึกตอบคำถาม หลังจากอ่านจบเรื่องแล้ว

๑. ครอบครัวของสามีกี่คน
๒. ฐานะความเป็นอยู่ของสา เป็นอย่างไร
๓. เพราะเหตุใด พ่อจึงไม่ได้อยู่กับสาและครอบครัว
๔. สาเขียนเรียงความส่งเข้าประกวด ในวันสำคัญอะไร
๕. เพราะเหตุใด สาจึงเขียนเรียงความเรื่องพ่อของฉัน
๖. พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าอย่างไร
๗. ผลการประกวดเรียงความเป็นอย่างไร
๘. เพราะเหตุใดพ่อของสา จึงพ้นโทษก่อนเวลาที่กำหนด
๙. ความต้องการของสา คืออะไร
๑๐. พ่อของสาประกอบอาชีพอะไร หลังพ้นโทษ

เรื่องวินัยสร้างตน คนสร้างชาติ

เรื่องวินัยสร้างตน คนสร้างชาติ
ประเภทบทร้อยกรอง กลอนแปด

เราคนไทยใช่จะไร้ในระเบียบ ไม่เอาเปรียบผู้อื่นไม่ฉ้อฉล
มีวินัยวัฒนธรรมค้ำชุมชน โดยทุกคนร่วมมือกันสรรสร้างไทย
มีวินัยในตนฝึกฝนเถิด ช่างประเสริฐพัฒนาพาแก้ไข
ต้องเคารพตามกฎที่ตั้งไว้ ต้องร่วมใจสร้างวินัยตนให้เป็น
นิยมความเป็นไทยในสิ่งนี้ ประหยัดดีมีสุขหมดทุกข์เข็ญ
รู้รักษาธรรมเนียมไทยไว้ให้เป็น อีกทั้งเห็นคุณค่าภาษาไทย
รู้หน้าที่มีความรับผิดชอบ ระเบียบวินัยเป็นกรอบป้องกันได้
รู้สะอาดตรงเวลาเถิดผองไทย จะนำพาเราให้ไทยยืนยง
หากเกเรดื้อรั้นพลันอวดเก่ง ไม่ยำเกรงผู้ใหญ่ใฝ่ประสงค์
ไม่เคารพกฎแห่งหมู่ดูทะนง ไม่ช้าคงดับดิ้นสิ้นชีวา
เหมือนช้างป่าโขลงหนึ่งซึ่งอาศัย ในป่าใหญ่มีช้างพลายเป็นหัวหน้า
มีระเบียบเรียบร้อยค่อยพูดจา ทั้งนำหาอาหารประสานกัน
อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข ทำหน้าที่ทุกทุกเชือกด้วยสุขสันต์
แต่ลูกช้างเชือกหนึ่งแสนดื้อรั้น หลบงานพลันเที่ยวเล่นเที่ยวเกเร
แม่อบรมสั่งสอนหาเชื่อฟังไม่ ซ้ำยังเถลไถลให้หันเห
ประพฤติตนจนนิสัยใจรวนเร เที่ยวฮาเฮเพื่อนระอาทั่วหน้ากัน
มีวันหนึ่งพลัดจากฝูงลื่นไถล ตกลงไปในบ่อร้องเสียงลั่น
รีบตะเกียกตะกายรวดเร็วพลัน พลางรำพันคิดถึงแม่ชะแง้มอง
ขึ้นจากบ่อไม่ได้คงตายแน่ โอ้ว่าแม่ลูกช้างเฝ้าคิดเศร้าหมอง
ครวญถึงแม่ฉันคงแย่น้ำตานอง ฉันไม่ตรองก่อนทำเฝ้าคร่ำครวญ
ฝ่ายโขลงช้างต่างหลบพายุฝน โกลาหลหลบใต้ต้นไทรด่วน
แม่เฝ้ามองร้องเรียกลูกสุดรัญจวน แม่ช้างครวญลูกอยู่ไหนไม่กลับมา
จึงวิ่งฝ่าพายุฝนร้อนรนจิต วิ่งไม่คิดชีวิตด้วยห่วงหา
บรรดาช้างต่างมองเศร้าอุรา แล้ววิ่งฝ่าสายฝนไปช่วยกัน
เมื่อมาเห็นสภาพของลูกช้าง ใจแม่ช่างปวดร้าวอย่างมหันต์
จ่าโขลงช้างเมื่อเห็นเป็นดังนั้น ยื่นเถาวัลย์พลันต้องคล้องลูกช้าง
แล้วใช้งวงดึงลูกช้างขึ้นมาได้ มีดีใจโผหาลูกลูบหัวหาง
ลูกช้างน้อยยอมรับผิดทุกทุกทาง ยกโทษบ้างสักครั้งทั้งเสียใจ
กราบขอโทษท่านทั้งหลายได้เดือดร้อน กราบวิงวอนสำนึกผิดกลับตัวใหม่
จะรักษาทั้งระเบียบทั้งวินัย สัญญาไว้ไม่ดื้อรั้นแต่นั้นมา
ทั้งหัวหน้าจ่าโขลงและเหล่าช้าง เป็นตัวอย่างที่ดีนี่แหละหนา
ผู้คนทั่วทั้งหลายย่อมศรัทธา ถึงแม้ว่าเป็นสัตว์ก็ชื่นชม
ขอเราเหล่านักเรียนจงตระหนัก ขอจงรักพวกพ้องจะสุขสม
ขอทุกคนที่อยู่ในสังคม จงนิยมของไทยใช้ของไทย
มีระเบียบวินัยดีย่อมมีสุข เพราะเป็นยุคก้าวหน้าส่งเสริมให้
เป็นคนดีมีระเบียบมีวินัย ย่อมสุขใจชีวิตเลิศประเสริฐคน





แบบทดสอบท้ายเรื่อง

คำชี้แจง นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้

. ทำไมจึงเปรียบมนุษย์เหมือนดอกไม้
. การไม่เคารพกฎจราจรจะเกิดผลเสียอย่างไร
. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงไม่มีระเบียบวินัย
. สิ่งที่จะควบคุมมนุษย์ให้อยู่ในระเบียบวินัยคือสิ่งใด
. เพราะเหตุใดโรงเรียนจึงต้องมีระเบียบวินัย
. เพราะเหตุใดเด็ก ๆ จึงต้องอยู่ในระเบียบวินัย
. ทำอย่างไรจึงจะอยู่กันอย่างมีความสุข
. ถ้านักเรียนเป็นลูกช้างควรปฏิบัติอย่างไร
. ทำไมฝูงช้างจึงต้องยกโทษให้ลูกช้าง
๑๐. นักเรียนอ่านเรื่องนี้แล้วได้ข้อคิดอะไรบ้าง








บรรณานุกรม

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๖). หนังสือเรียนภาษาไทย
ชุดพื้นฐานภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ เล่ม ๑. กรุงเทพ ฯ:
คุรุสภาลาดพร้าว.

โคนันทวิศาล

โคนันทวิศาล
เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ

พราหมณ์คนหนึ่งมีโคชื่อนันทวิศาล เป็นโคหนุ่มที่แข็งแรง มีกำลังมาก สามารถลากเกวียนได้เป็นร้อยเล่ม
อยู่มาวันหนึ่งเศรษฐีในหมู่บ้าน ประกาศท้าพนันลากเกวียนจำนวนหนึ่งร้อยเล่มเกวียนด้วยเงินห้าร้อยชั่ง พราหมณ์จึงนำโคนันวิศาลไปพนันลากเกวียนด้วย เมื่อพราหมณ์นำโคนันทวิศาลมาเทียมเกวียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงพูดกับโคนันทวิศาลด้วยเสียงอันดังว่า “นี่เจ้าโคขี้เกียจ เจ้าจงลากเกวียนทั้งหมดไปให้ได้นะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเจ็บตัว” โคนันทวิศาลได้ยินพราหมณ์พูดเช่นนั้น จึงยืนนิ่งไม่ยอมลากเกวียนไป แม้ว่าพราหมณ์จะเฆียนตีอย่างไร ในที่สุดพราหมณ์ก็แพ้พนันต้องจ่ายเงินให้เศรษฐี ทำให้พราหมณ์เสียใจมาก ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ไม่เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้นเสียดายเงินที่เสียไป โคนันทวิศาลเห็นดังนั้นจึงเกิดความสงสารพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าของมาก จึงพูดกับพราหมณ์ว่าให้ไปท้าพนันลากเกวียนกับเศรษฐีใหม่ด้วยเงินหนึ่งพันชั่งแล้วให้พราหมณ์พูดกับตนด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ พราหมณ์ได้ยินดีใจมาก รีบไปท้าพนันลากเกวียนกับเศรษฐีใหม่ พราหมณ์นำโคนันทวิศาลมาเทียมเกวียนหนึ่งร้อยเล่ม เมื่อพราหมณ์เทียมเกวียนเสร็จแล้ว จึงพูดกับโคนันทวิศาลด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวานว่า “พ่อมหาจำเริญ พ่อจงลากเกวียนทั้งหนึ่งร้อยเล่มเกวียนนี้ไปให้ข้าหน่อยนะพ่อนะ” โคนันทวิศาลได้ยินพราหมณ์พูดไพเราะเช่นนั้นก็ลากเกวียนไปถึงที่หมายได้สำเร็จ พราหมณ์ดีใจมากได้เงินพนันหนึ่งพันชั่ง ตั้งแต่นั้นมาพราหมณ์ก็พูดจาไพเราะกับโคนันทวิศาลและคนอื่น ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- การพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ย่อมเป็นที่รักของคนทั่วไป
- ตรงกับสำนวนที่ว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว หรือปลาหมอตายเพราะปาก”


คำถามท้ายบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้

1. พราหมณ์มีโคหนุ่ม ชื่อว่าอะไร
2. เพราะเหตุใดโคนันทวิศาล จึงไม่ยอมลากเกวียนไปให้พราหมณ์
3. ทำไมพราหมณ์จึงชนะพนันการแข่งขันลากเกวียน
4. นักเรียนอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว ให้ข้อคิดอย่างไร
5. การกระทำของพราหมณ์ตรงกับสุภาษิตสำนวนไทย ว่าอย่างไร

***********************************


บรรณานุกรม

กุสุมา รักษมณี. (๒๕๓๘) นิทานวานบอก. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ :
พับลิคบิสเนสพริ้นท์.
สำลี รักสุทธี. (๒๕๔๔). นิทานพื้นบ้านอีสานและตำนานการก่อตั้งจังหวัด.
กรุงเทพฯ : พัฒนศึกษา.
โสฬส แสงศรี. (ม.ป.ป.) นิทาน ๕ นาที. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพิ์นานาบุ๊ค.

ทำไมอีกาจึงเกลียดนกฮูก

ทำไมอีกาจึงเกลียดนกฮูก
เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พวกนกต่าง ๆ จะเป็นเพื่อนรักกันมากไปไหนก็ไปกันเป็นฝูง มีอะไรก็แบ่งกันกิน แม้แต่การทำรังก็ช่วยกันทำไม่เคยทะเลาะกันเลย
อยู่มาวันหนึ่ง อีกากับนกฮูกซึ่งต่างก็เป็นเพื่อนรักกันมากทั้งสอง
ตกลงกันว่า จะเปลี่ยนกันแต่งขนให้มีลวดลายสวยงาน กันคนละทีอีกาเป็นสัตว์ที่ขยันละเอียด จึงแต่งให้นกฮูกมีขนคิ้วหนาตาโต มีขนลายสลับกันจนทั่วทั้งตัว ซึ่งก็ใช้เวลาหลายวันจึงเสร็จ
พอถึงคราวนกฮูกซึ่งต้องแต่งให้อีกาบ้าง ในขณะที่ทั้งสองบินคู่กันมา เพื่อจะไปยังสถานที่แต่งตัว ได้ผ่านบ้านคนหลังหนึ่งกำลังย้อมสีผ้าอยู่ นกฮูกซึ่งเป็นสัตว์ขี้เกียจ ได้โอกาส จึงผลักอีกาตกลงไปในถังย้อมผ้าสีดำ อีกาจึงมีขนสีดำตลอดไปทั้งตัว อีกาโกรธมากไล่จิกนกฮูกและประกาศว่าจะไม่เป็นเพื่อนกัน เจอที่ไหนจะไล่จิกไล่ตีให้ตาย นกฮูกจึงต้องนอนอยู่ตามโพรงไม้ในเวลากลางวัน และออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนกาจึงมีขนสีดำ มาจนถึงทุกวันนี้.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
-การไม่รักษาคำพูดที่สัญญากันไว้ ก็จะไม่มีใครคบเป็นเพื่อนอีกต่อไป
-การเป็นผู้ละเอียดและขยัน ย่อมทำงานได้สำเร็จด้วยดี
-ความเป็นผู้เกียจคร้าน ย่อมทำให้เดือดร้อนในภายหลัง


ที่มา: สำลี รักสุทธี. (๒๕๔๔). นิทานพื้นบ้านและตำนานการก่อตั้งจังหวัด.
กรุงเทพมหานคร: ธนรัชการพิมพ์.

คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
๑.อีกา มีนิสัยอย่างไร
๒. นกฮูกมีนิสัยอย่างไร
๓. เพราะเหตุใด อีกาจึงมีขนสีดำ
๔. เพราะเหตุใดนกฮูก จึงมีขนสีสวยงาม
๕. ทำไมอีกา จึงเป็นศัตรูกับนกฮูก
๖. นิทานเรื่องนี้ ให้ข้อคิดอย่างไร

*******************************************

เหตุที่ช้างตาเล็ก เสือตัวลาย

เหตุที่ช้างตาเล็ก เสือตัวลาย
เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชาวนาคนหนึ่ง ชื่อว่านายมี แกมีช้างอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งแกได้ฝึกฝนช้างตัวนี้จนเชื่องสามารถอยู่ร่วมกันและทำงานให้แกได้หลาย ๆ อย่าง
อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากนายมีใช้ให้ช้างทำงานเสร็จแล้ว แกก็นำช้างไปล่ามไว้ใต้ต้นไม้เพื่อให้กินใบไม้เป็นอาหารตามลำพัง ขณะที่ช้างกำลังกินใบไม้อยู่นั่นเอง มีเสือตัวหนึ่งเดินผ่านมา เห็นช้างถูกล่ามไว้ มีความสงสัยทำไม ช้างตัวใหญ่จึงต้องถูกล่ามไว้ ช้างเล่าให้เสือฟังว่า คนเป็นผู้จับตนมาล่ามไว้ เสือตอว่าไปยอมคนทำไมตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ช้างบอกกับเสือว่า คนเขามีปัญญาดี เขาจึงจับข้ามาล่ามได้
เสืออยากเห็นคนเหลือเกิน ที่ช้างว่าคนมีปัญญาดีนั้น มันเป็นอย่าไร ช้างให้เสือรอหน่อย เดี๋ยวคนก็มาให้เห็นเอง เมื่อนายมีกลับมาเพื่อเปลี่ยนที่ให้ช้างใหม่ก็ได้พบกับเสือ เสือถามว่าไหนช้างบอกว่าเจ้ามีปัญญาดี เป็นอย่างไรเอามาให้ข้าดูหน่อย ไม่อย่างนั้นจะกินเจ้าเป็นอาหาร นายมีตกใจมาก แต่ก็พูดด้วยใจดีว่า ข้าไม่ได้เอามาด้วย ปัญญาดีอยู่ที่บ้าน เสือบอกว่าจะรออยู่ที่นี่จะไม่หนีไปไหน ให้นายมีไปเอามาให้ดูหน่อย นายมีทำทีว่าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะรอข้าอยู่ที่นี่ เสือว่าแล้วทำอย่างไรเจ้าจึงจะเชื่อว่าข้าจะไม่หนีไปไหน นายมีว่าให้มัดขาไว้ไม่ให้หนี เสือตกลง นายมีจึงมัดขาเสือเข้าด้วยกันทั้งสีขา แล้งลงมือเฆี่ยนตีอย่างเมามัน เพื่อให้เสือได้รู้ฤทธิ์ของคนว่าเป็นอย่างไร นายมีเฆี่ยนเสือจนแตกยับและเป็นแผลพุพองไปทั้งตัว เสือจึงมีตัวลาย จนทุกวันนี้ ส่วนช้างหัวเราะเยาะเย้ยเสือจนตาเล็ก ตราบเท่าทุกวันนี้เช่นกัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
-เมื่อถึงคราวคับขัน หากมีสติ ก็จะเกิดปัญญาแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายได้
- คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด

ที่มา: สำลี รักสุทธี. (๒๕๔๔).นิทานพื้นบ้านและตำนานการก่อตั้งจังหวัด.
กรุงเทพมหานคร: ธนรัชการพิมพ์.

คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. ช้างมีประโยชน์ ทำอะไรได้บ้าง
. คนมีปัญญาดี เป็นอย่างไร
. เพราะเหตุใด เสือจึงตัวลาย
. ทำไมช้างจึงตาเล็ก
. นิทานเรื่องนี้ ให้ข้อคิดอย่างไร

ทำไมสัตร์ถึงมีพิษ

ทำไมสัตว์จึงมีพิษ

เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บรรดาสัตว์ต่าง ๆ ที่มีพิษมากที่สุดคืองูเหลือมเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ พิษร้ายแรงเมื่อฉกคนหรือสัตว์จะต้องตายทันที งูเหลือมจึงได้ชื่อว่าพญางูยักษ์ งูใหญ่ เป็นหัวหน้างูและเป็นเจ้าป่าอีกด้วยในสมัยนั้น
อยู่มาวันหนึ่งงูเหลือบอยากลองดูว่าตนเองยังมีพิษร้ายแรงอยู่หรือเปล่า จึงเลื้อยออกไปหากิน เห็นชาวนาคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำนาอยู่ไม่ทันรู้ตัวงูเหลือบเลื้อยเข้ามาข้างหลัง ได้ฉกชาวนาจนล้มลงสิ้นใจตายทันที แต่ในถุงเสื้อของชาวนามีปูอยู่ข้างใน งูเหลือมเข้าใจว่าพิษของตนเองฆ่าคนไม่ตาย แปลกใจมากที่พิษของตนเองไม่ร้ายแรงอีกแล้ว ไม่สมควรเป็นพญางูเจ้าป่าต่อไปอีกแล้ว
จึงเที่ยวประกาศออกไปว่า ข้าไม่ขอเป็นพญางูเจ้าป่าอีกต่อไปแล้ว โดยข้าจะคายพิษออกใครอยากได้ให้เป็นเอาหน้าถ้ำในเช้าวันพรุ่งนี้ สัตว์ต่าง ๆ ได้ฟังต่างก็อยากได้พิษต่างทยอยมาทุกสารทิศ แย่งกันเข้าคิว ใครไวกว่าก็ได้อยู่แถวหน้า
พอได้เวลารุ่งเช้างูเหลือบก็คายพิษออกจนหมด เจ้างูจงอาจชูคอสูงกว่าใคร ๆ ได้พิษสมใจก่อนใครหนีเข้าป่าไป งูสามเหลี่ยม งูหางกระดิ่ง งูเขียว ทยอยกันมาได้พิษอย่างมากมาย ถึงคิวงูเห่าโลภมาก ก้มลงดูดเอาพิษจนล้นคอออกมา เวลางูเห่าจะฉกใครจึงเห็นพิษพองขึ้นที่คอจนทุกวันนี้
จนถึงคิวปลาดุกพิษก็เหลือน้อยเต็มที ปลาดุกใช้เงี่ยงแตะเอาทีละข้างก็ลงน้ำหนีไป ฝ่ายเจ้าตัวต่อและผึ้งแมลงภู่เข้ามาแย่งกัน แซงคิวกันอุดตลุดตัวต่อตัวใหญ่กว่าจึงได้พิษไปมากผึ้งและแมลงภู่
ถึงคิวแมลงป่อง ใช้หางจุ่มเอาพิษด้วยความดีใจชูหางขึ้นอวดเพื่อน ๆ จนเท่าทุกวันนี้ จนมาถึงมดแดงตัวเล็กกว่าเพื่อน ยืนเท้าสะเอวรอนานแสนนานใช้ก้นจิ้มพิษที่เหลือเพียงนิดเดียวและเป็นคนสุดท้าย เหตุที่มดแดงยืนเท้าเอวนานเอวจึงกิ่วเท่าทุกวันนี้
ฝ่ายงูปลา งูสิง มัวหากินกบ กินปลา กินเขียด ไปเอาพาไม่ทัน จึงไม่มีพากับเขาตราบเท่าทุกวันนี้เช่นกัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
-ไม่ควรปักใจเชื่อสิ่งใด สิ่งหนึ่งโดยไม่พิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ย่อมทำให้เกิดความเสียหายและเสียอำนาจที่ตนมีอยู่ในที่สุด



ที่มา: สำลี รักสุทธี. (๒๕๔๔). นิทานพื้นบ้านและตำนานการก่อตั้งจังหวัด.
กรุงเทพมหานคร: ธนรัชการพิมพ์.



คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. สัตว์ชนิดใดมีพิษมากที่สุด
. เหตุใดงูเหลือมจึงคายพิษให้กับสัตว์ต่าง ๆ
. เหตุใดมดแดง จึงเอวกิ่ว
. สัตว์ชนิดใด ไม่ได้รับพิษจากงูเหลือม
. นิทานเรื่องนี้ ให้ข้อคิดอย่างไร

************************************************

กรรมตามสนอง

กรรมตามสนอง
เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่งอยู่ด้วยกันสามคนคือ แม่เฒ่าผู้ตาบอด ลูกชายและลูกสะใภ้
ฝ่ายลูกสะใภ้นั้นเป็นคนนิสัยใจคอฉุกเฉียว โมโหร้ายโกรธง่าย เมื่อมาอยู่กับย่าตาบอดก็ยิ่งรำคาญหัวใจและเกลียดชังย่ายิ่งนัก เวลาผัวไม่อยู่บ้านลูกสะใภ้มักหาเรื่องกลั่นแกล้งอยู่บ่อย ๆ เช่นแกล้งเอาไม้ไปขวางทางเดินเพื่อให้ย่าหกล้ม แกล้งเอาดินใส่ก่องข้าวเพื่อให้ย่ากินข้าวผสมดิน หรือแอบเอารังมดแดงมาเคาะไว้กับเสื้อผ้าหรือผ้าห่มย่า สารพัดต่าง ๆ นานาที่จะให้ย่าได้รับอันตราย
อยู่มาวันหนึ่ง ฝ่ายผัวออกไปทำงานนอกบ้าน ลูกสะใภ้จึงไปช้อนปลิงตามหนองน้ำมาแกงให้ย่ากิน ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีใครกินปลิง เพราะน่าเกลียดน่ากลัว และมีเนื้อหนังที่หยาบเหนียวอีกด้วย พอแกงเสร็จ ก็นำไปให้ย่ากิน บอกว่าเป็นแกงเครื่องในควาย ย่าเคี้ยวเท่าไหร่ก็ไม่ขาดได้แต่นึกในใจว่าเป็นควายแก่ ลูกสะใภ้ว่าควายแก่หนังเหนียวอย่างนี้แหละ กินไปเถอะย่าได้ยินดังนั้นก็จำใจกลืนกิน กินไปสักพักปลิงเกิดติดคอย่า หายใจไม่ได้จึงถึงแก่ความตาย ลูกสะใภ้รีบนำแกงปลิงไปผังดินเพื่อไม่ให้ผัวรู้
พอผัวกลับมาถึงบ้านได้แต่ร้องไห้ ด้วยความเสียใจที่แม่ตาย จึงถามเมียว่าทำไมแม่ถึงตาย ผู้เป็นเมียบอกว่าแม่กินข้าวเหนียวไปมาก จึงสำลักหายใจไม่ได้ ตนเองช่วยอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ แม่จึงตายในที่สุด จากนั้นก็พากันจัดการศพย่าตามประเพณี แล้วก็ถึงเวลาจะนำศพไปเผาที่ป่าช้า จึงให้ชาวบ้านมาช่วยกันยกศพ แต่ยกเท่าไหร่ก็ยกไม่ขึ้น ให้ลูกชายมายกก็ยกไม่ขึ้น ยังเหลือแต่ลูกสะใภ้คนเดียวที่ยังไม่ได้ยก จึงให้ลูกสะใภ้มาลองยกดู
เมื่อลูกสะใภ้เดินเข้าใกล้ศพย่าเท่านั้นเอง ศพก็พุ่งขึ้นบนบ่า โดยไม่ต้องยกต้องหามแต่อย่างใด ยังความแปลกใจแก่ชาวบ้านเป็นยิ่งนัก ลูกสะใภ้ จึงได้หามศพเป็นเป็นย่า เดินตรงไปยังป่าช้าท้ายหมู่บ้าน
เมื่อมาถึงบริเวณที่จะวางศพลงเพื่อจะทำการเผา ชาวบ้านและลูกชายจึงช่วยกันยกศพ ออกจากบ่าลูกสะใภ้ แต่ปรากฏว่าแกะเท่าไหร่ก็แกะศพไม่ออก ลูกสะใภ้ตกใจมาก จึงดินทุรนทุรายจนขาดใจตาย ซึ่งมีศพย่าทับอยู่บนร่างนั่นเอง หลวงพ่อบอกว่าคงเป็นกรรมของเขาเอง ซึ่งอาจจะทำกรรมไว้กับย่ามาก จึงต้องมาตายด้วยกัน
หลังจากนั้นชาวบ้านจึงเผาทั้งย่าและลูกสะใภ้ พร้อม ๆ กันในป่าช้านั่นเอง….
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.
- ความโกรธ ความโมโหเป็นสิ่งไม่ดี เป็นเหมือนไฟเผากายและใจตนเองนั่นเอง
- ใครทำความดีก็จะได้รับผลดี หากใครทำชั่วก็จะได้รับกรรมชั่ว
- การทำความทุกข์ให้ผู้อื่น ทุกข์นั้นย่อมมาถึงตัว
ที่มา: สำลี รักสุทธี. (๒๕๔๔). นิทานพื้นบ้านและตำนานการก่อตั้งจังหวัด.
กรุงเทพมหานคร: ธนรัชการพิมพ์.

คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. ลูกสะใภ้มีนิสัย อย่างไร
. จงบอกการกระทำที่ไม่ดีของลูกสะใภ้
. เพราะเหตุใด ย่าจึงตาย
. นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้เกี่ยวกับเรื่องอะไร
. การกระทำของลูกสะใภ้ตรงกับสุภาษิตไทย ว่าอย่างไร

******************************

ทำไมลิงชอบอยู่บนต้นไม้

ทำไมลิงชอบอยู่บนต้นไม้
เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าแห่งหนึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าน้อยใหญ่นานาชนิด ยังมีลิงตัวหนึ่งมีนิสัยชอบอวดเก่งเที่ยวท้าทายความสามารถของตัวเองเสมอ ๆ
ต่อมาลิงได้มาพบกับควายป่าตัวใหญ่ ลิงตะโกนท้าทายให้ควายป่าไปโหนต้นไม้แข่งกัน ควายป่าก็ส่ายหน้าเดินหนีไป ลิงนึกคะนองและดีใจที่ชนะควายตัวใหญ่ได้ เที่ยวเดินท้าทายอีกต่อไป จนไปพบกับลาตัวหนึ่ง จึงท้าให้ลาตีลังกากลางอากาศแข่งกัน เจ้าลาก็ส่ายหน้าเดินหนีจากไป ลิงดีใจมาที่ลาก็เดินหนีไปเหมือนกัน เจ้าลิงได้ใจเดินทางท้าทายสัตว์อื่นต่อไปด้วยความคึกคะนอง เมื่อมาพบหมูป่าตัวหนึ่ง ก็ท้าให้หมูป่าโยนกล้วยเข้าปากแข่งกัน หมูป่าก็ส่ายหน้าแล้วเดินหนีไป ลิงยิ่งดีใจลืมตัวตะโกนก้องไปในป่าใหญ่ แสดงความยิ่งใหญ่ที่ตนเองสามารถท้าทายสัตว์ใหญ่เหล่านั้นได้ เสียงดังก้องไปในแม่น้ำ จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งได้ยินจึงคิดอุบายหลอกลิงให้มานั่งอยู่บนหัว แล้วจระเข้จะพาท่องเทียวไปตามแม่น้ำ ลิงหลงเชื่อกระโดดขึ้นบนหัวจระเข้ลอยตามน้ำไป พอไปถึงกลางแม่น้ำจระเข้จึงบอกว่าจะกินหัวใจลิง ลิงได้ฟังตกใจมากที่เสียรู้จระเข้ จึงทำทีพูดกับจระเข้ว่า “หัวใจของข้าไม่ได้อยู่กับตัวหรอก หัวใจข้าอยู่บนต้นไม้หากเจ้าอยากกินให้พาข้าไปส่งฝั่งก่อน จึงจะไปเอาหัวใจที่อยู่บนต้นไม้มาให้เจ้ากินได้ ” จระเข้หลงเชื่อพาลิงลอยเข้าหาฝั่ง ลิงได้โอกาสจึงถีบหัวจระเข้กระโดดขึ้นฝั่งแล้วรีบวิ่งขึ้นต้นไม้ด้วยความกลัว ตั้งแต่นั่นมา ลิงทุกตัวไม่กล้าลงจากต้นไม้เที่ยวท้าทายใครอีกเลย ต้นไม้จึงเป็นหัวใจลิง ลิงจึงชอบอยู่บนต้นไม้ตั้งแต่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้…………
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
-การหลงลืมตนเองนึกว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น ๆ ในทุก ๆ อย่างนั้น
เป็นไปไม่ได้
-การรู้จักคิดหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านั้นย่อมผ่านอุปสรรคไปได้
-ทั้งคนและสัตว์สิ่งของในโลกนี้ต่างก็มีความสามารถและเป็นประโยชน์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน แตกต่างกันออกไป

ที่มา: สำลี รักสุทธี. (๒๕๔๔). นิทานพื้นบ้านและตำนานการก่อตั้งจังหวัด.
กรุงเทพมหานคร: ธนรัชการพิมพ์.

คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. ลิงมีนิสัยอย่างไร
. เพราะเหตุใด สัตว์ทั้งหลายจึงไม่รับคำท้าของลิง
. ใครสั่งสอนให้ลิงมีนิสัยอวดเก่ง
. ลิงมีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร
. อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว ให้ข้อคิดอย่างไร

นกมีหูหนูมีปีก

นกมีหูหนูมีปีก

เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เกิดสงครามขึ้นระหว่างสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งอยู่บนโลกนี้ต่างก็แตกแยกกันออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ เพื่อทำสงครามแย่งที่อยู่อาศัยกัน โดยพวกสัตว์สี่เท้าก็นับตั้งแต่หนูเล็ก ๆ จนถึงช้าง ซึ่งสัตว์จำพวกนี้มีลักษณะเหมือน ๆ กัน มีสี่เท้าและมีใบหูเหมือนกันได้รวมตัวกันทั้งหมด แล้วยกให้ราชสีห์เป็นหัวหน้าทำสงครามสัตว์
ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นสัตว์จำพวกมีปีก นับตั้งแต่แมลงมีปีกตัวเล็ก ๆ ไปจนถึงพญานกอินทรีย์ ได้รวมตัวกันจนหมดสิ้น แล้วยกให้นกอินทรีย์เป็นหัวหน้าทำสงครามสัตว์ สัตว์ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากทำสงคราม ไล่กัดจิกตีกันดังลั่นไป
ทั้งป่า ไม่เว้นแต่ละวันสัตว์น้อยใหญ่ทั้งพวกมีหูและพวกมีปีกล้มตายเป็นอันมาก พลัดกันแพ้ พลัดกันชนะ
แต่มีสัตว์พวกหนึ่ง คือค้างคาวเป็นสัตว์โกหกพูดตลบตะแลง ไม่เคยยอมเป็นฝ่ายแพ้ใคร เมื่อฝ่ายใดชนะก็จะอ้างว่าตัวเองอยู่ฝ่ายนั้นอยู่เรื่อยไป เมื่อฝ่ายราชสีห์ชนะ ค้างคาวก็บอกว่าเป็นฝ่ายราชสีห์เพราะเรามีใบหูเหมือนกัน ค้างคาวก็ชนะด้วยไม่ยอมแพ้ เมื่อถึงคราวฝ่ายพญานกอินทรีย์เป็นฝ่ายชนะ ค้างคาวก็อ้างว่าเป็นพวกเดียวกันด้วยไม่ยอมแพ้เพราะมีปีกเหมือนกัน จึงไม่ยอมเป็นฝ่ายแพ้ ค้างคาวทำเช่นนี้มาตลอดไม่เคยแพ้สักทีเลย
หลายปีต่อมาสัตว์ต่าง ๆ เริ่มเหลือน้อยลง เนื่องจากการตายในสงครามสัตว์ จึงรวมกันเจรจากันขอสงบศึก เลิกทำสงครามกันให้หันหน้าเข้าหากัน ต่างคนต่างอยู่ แยกย้ายกันทำที่อยู่อาศัย พวกมีปีกก็อยู่กลางอากาศและบนต้นไม้สูง นกต่าง ๆ ให้ทำรังอยู่ ส่วนพวกมีหู เช่น ราชสีห์ให้อยู่ตามถ้ำ หนูให้ขุดรูอยู่ ส่วนค้างคาวอ้างว่าเราไม่ช่วยหนูขุดรูหรอก เราจะไปทำรังอยู่เหมือนนกเพราะเรามีปีก เมื่อนกขอร้องให้ช่วยทำรัง ค้างคาวก็อ้างว่าเราเป็นพวกหนู เพราะเรามีหูเราจะไปอยู่กับหนู ตกลงค้างคาวเลยไม่ได้ช่วยเพื่อนทำอะไรเลย สัตว์ต่าง ๆ ได้ประชุมกันว่าค้างคาวเป็นสัตว์พูดตลบตะแลงไม่มีความจริงใจกับฝ่ายใด จึงตัดสินลงโทษค้างคาว ให้ค้างคาวเวลานั่งก็ให้เอาหัวลง เวลานอนก็ให้เอาหัวขึ้น กินก็ให้เอาหัวลง ให้มองเห็นเฉพาะเวลากลางคืนและให้มีที่อยู่อาศัยที่เป็นมุมมืด ตั้งแต่นั้นมาค้างคาวจึงต้องเอาหัวลงพื้นเสมอ ๆ และออกหากินเฉพาะเวลากลางคืน กลางวันอาศัยอยู่ในที่มืด ๆ ตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
- การพูดกลับไปกลับมา ไม่มีความจริงใจกับใคร ย่อมอยู่อย่างไม่เป็นสุข และไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนด้วย
- การเอาเปรียบผู้อื่นเสมอ ๆ เป็นสิ่งไม่ดี ทำให้ผู้อื่นรังเกียจได้



ที่มา: สำลี รักสุทธี. (๒๕๔๔). นิทานพื้นบ้านและตำนานการก่อตั้งจังหวัด.
กรุงเทพมหานคร: ธนรัชการพิมพ์.



คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. เกิดสงครามระหว่างใครกับใคร
. เพราะเหตุใดค้างคาว จึงไม่เคยแพ้สงคราม
. ค้างคาว มีนิสัยอย่างไร
. สัตว์ต่าง ๆ ลงโทษค้างคาวอย่างไร
. นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดอย่างไร

*****************************************

สี่สหายเจ้าปัญญา

สี่สหายเจ้าปัญญา
เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายสี่คนเป็นเพื่อนรักกันมาก คนที่หนึ่งชื่อว่าเจ้าหัวล้าน ซึ่งมีหัวล้านมาก เมื่อหัวล้านเจอแดด นายหัวล้านจะร้อนมากจนทนแทบไม่ไหว คนที่สองชื่อเจ้าเหามาก มีเหาขึ้นเต็มหัว มีอาการคันมากไปที่ไหนก็ได้แต่เกาหัวอยู่เสมอ ๆ คนที่สามชื่อว่านายขี้มูกมาก ไปที่ไหนขี้มูกจะไหลไม่ขาด คนสุดท้าย ชื่อนายตาแฉะ ไปที่ไหนจะใช้มือไล่แมลงหวี่ออกจากตาเสมอ ๆ
อยู่มาวันหนึ่งทั้งสี่คนเดินมาพบกันกลางหมู่บ้าน ต่างคนต่างชี้หน้าด่ากันว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี จึงเกิดการท้าทายกัน โดยได้ตกลงกันว่า ใครจะอดทนกว่ากัน คนหัวล้านก็ห้ามลูบหัว คนเหามากก็ห้ามเกาหัว คนขี้มูกไหลก็ห้ามเช็ดขี้มูกและคนตาแฉะก็ห้ามไล่แมลงหวีโดยเด็ดขาด
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสี่คนก็มาตามนัดกลางหมู่บ้าน แล้วพากันพายเรือไปกลางแม่น้ำให้ถูกแดดร้อนจัด เจ้าหัวล้านร้อนจนเหงื่อออกเต็มหัวล้านก็ทนเอากลั้วจะแพ้เพื่อน ๆ เจ้าเหามากทั้งร้อนทั้งคัน ก็ไม่กล้าเกาหัวอดทนเอาไว้
เจ้าขี้มูกไหลยาวออกมาก็สูดกลับคืนไม่กล้าเช็ค ส่วนเจ้าตาแฉะทั้งร้อนและมีแมลงหวี่บินมาตอมลูกตาก็ต้องทนเอากลัวจะแพ้เพื่อน ๆ เช่นกัน
ทั้งสี่คนยิ่งอยู่บนเรือนานก็ยิ่งร้อน ทุกคนต่างก็ทรมานใจเหลือเกินได้แต่นิ่งอดทนไม่กล้าทำตามใจต้องการได้
เจ้าหัวล้านทนไม่ไหวจึงออกอุบายตะโกนบอกเพื่อน ๆ ว่า เฮ้ย ๆ เมื่อวานนี้ข้าได้มาพบช้างตัวหนึ่งมันใช้งวงจุ่มน้ำแล้วพ่นใส่หัวมันอย่างนี้ ว่าแล้วเจ้าหัวล้านก็ทำท่าเอามือวิดน้ำมาใส่หัวล้านตนเอง จึงเย็นลงได้สำเร็จ ฝ่ายเจ้าเหามากก็ทนไม่ไหวเห็นเจ้าหัวล้านใช้ปัญญาเอาตัวรอดไปได้ จึงตะโกนสนับสนุนว่า ใช่แล้วเมื่อวานข้าก็เห็นกวางมันก็ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เขามันยาว ๆ อย่างนี้ พร้อมทำท่ายกมือมาทำเขากวางพลางใช้นิ้วเกาหัวตัวเองจึงหายคัน ฝ่ายเจ้าขี้มูกมากเห็นดังนั้น จึงพูดขึ้นเช่นกันว่า ใช่แล้วเมื่อวานนี้ข้าก็ได้เอาธนูมายิงกวางด้วย ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นทำท่ายิงธนูออกไป โดยใช้หลังมือเช็คขี้มูกออกจนได้ กล่าวถึงเจ้าตาแฉะซึ่งนั่งอยู่ท้ายเรือมีแมลงหวี่ตอมขี้ตาเต็มไปหมดก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน เห็นเพื่อน ๆ ทั้งสามใช้ปัญญาอย่างนั้น จึงยกมือทั้งสองขึ้นไล่แมลงหวี่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า เรื่องทั้งหมดที่พวกเอ็งเล่ามาแล้วนั้น กูไม่เชื่อ กูไม่เชื่อ พลางใช้มือไล่แมลงหวี่ไปจนหมด
ผลปรากฏว่าไม่มีใครแพ้ ใครชนะทุกคนเสมอกัน ต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านไม่กล้ามาท้าทายกันอีกเลย



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
การรู้จักคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างแยบยลก็จะสามารถเอาตัวรอดได้
อย่างไม่เสียเชิง..


ที่มา: โสฬส แสงศรี. (ม.ป.ป.)นิทาน ๕ นาที. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์นานาบุ๊ค.

คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. ตัวละครในเรื่องใช้สติปัญญาแก้ปัญหา อย่างไร
. นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไร เมื่ออ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว
. นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดอย่างไร

**************************************

ปุแสนฉลาด

ปูแสนฉลาด
เรื่องโดยพิมพา ฤทธิรณ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนองน้ำแห่งหนึ่งอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วย ปู ปลา นานาชนิดต่างแวกว่ายไปมาหากินกันในหนองน้ำแห่งนี้เรื่อยมา
อยู่มาวันหนึ่งนกกระสาตัวหนึ่งบินผ่านมาเห็นฝูงปลามากมาย จึงคิดอยากกินปู ปลาเหล่านี้ นกกระสาจึงบินวนกลับมายังหนองน้ำอีกครั้งหนึ่งด้วยความหิว บินร่อนลงจับบนขอนไม้กลางหนองน้ำท่ามกลาง ฝูง ปู ปลา มากมาย ฝูงปลาต่างตกใจ แวกว่ายกระโดดหนีกันวุ่นวาย เมื่อเห็นเงานกกระสาสีขาวตัวใหญ่ ปากแหลมคมจ้องมองอยู่บนขอนไม้ ฝ่ายเจ้านกกระสาต้องใช้ความพยายามทนตากแดดทั้งวัน ทำท่าหงอยเหงาซึมเศร้า จนตะวันบ่ายก็ไม่ยอมหนีไปไหนทำให้ฝูง ปู ปลาแปลกใจมาก ปลาซิวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งตะโกนด่า “เจ้านกกระสาขี้ขลาดแน่จริงเจ้าจงลงมาต่อสู้กับข้าซิ”
นกกระสาโกรธมากแต่ก็ต้องทนไม่ตอบโต้แต่อย่างใด ได้แต่นั่งซึมเศร้าอยู่บนขอนไม้ต่อไปจนแม่ปลาซิวมาพบเข้า จึงถามว่า ทำไมเจ้ามานั่งซึมอยู่บนขอนไม้ไม่ยอมไหนทั้งวันเลย นกกระสาได้โอกาสจึงตอบแม่ปลา “ว่าเมื่อเช้านี้เองข้าบินผ่านหมู่บ้านมาได้ยินคนพูดกันว่าพรุ่งนี้จะพากันมาจับปลาในหนองน้ำนี้ให้หมดเลยก็สงสารพวกเจ้ามาก จึงมานั่งซึมเศร้าอยู่ที่นี้แหละ”แม่ปลาไม่เชื่อ เพราะเรากับนกเป็นศัตรูกันมาก่อน นกกระสาบอกว่าเราอยากจะพาพวกเจ้าไปอยู่หนองน้ำแห่งใหม่ซึ่งปลอดภัยกว่านี้ โดยจะคาบพวกเจ้าบินไปทีละตัวหากไม่เชื่อข้าจะพาลูกเจ้าไปดูกันก่อนก็ได้ นกกระสาทำทีพาลูกปลาบินไปดูหนองน้ำแห่งใหม่แล้วก็บินกลับมาส่งให้แม่ปลาคืน
แม่ปลาเห็นดังนั้นก็หลงเชื่อเที่ยวบอกกับปลาทั้งหลายมาให้นกกระสาคาบหนีไปทีละตัว ครั้งนี้นกกระสาบินมาถึงกลางทางก็กินปลาทีละตัว ๆ ทิ้งก้างลงข้างทางจนปลาในหนองน้ำเลยน้อยเต็มที
ปูน้อยตัวหนึ่งบอกพ่อปูแม่ปูว่าให้ลูกไปพูดกับนกกระสาก่อนพ่อกับแม่อย่าเพิ่งไปเลย นกกระสากินปลาจนอิ่มแล้ว เห็นปูน้อยคลานมาหานึกในใจว่าดีเหมือนกันกินปลาจนเบื่อแล้ววันนี้จะกินปูดูบ้าง ลูกปูบอกนกกระสาว่าถ้านกกระสาคาบกระดองข้ามันจะลื่นหากบินอยู่กลางอากาศ ข้ากลัวจะตกลงมาตาย ถ้านกกระสาจะช่วยข้าจริง ๆ แล้วขอให้ข้าหนีบคอเจ้าไปจะดีกว่า ด้วยความได้ใจที่เคยได้กินปลามามากแล้วไม่มีเหลือสักตัว นกกระสาจึงให้ลูกปูหนีบคอแล้วบินขึ้นฟ้าไป ลูกปูมองเห็นก้างปลาอยู่ตามข้างทางมากมายจึงรู้ความจริงแล้วบอกกับนกกระสาว่า เจ้าช่างมีกำลังเหลือเกินข้าอยากให้เจ้ากลับไปเอาพ่อกับแม่ข้ามาพร้อมกันเลย ก่อนที่ชาวบ้านจะมาจับพ่อกับแม่ข้าไปกินก่อน นกกระสาหลงเชื่อพาลูกปูบินกลับมาหนองน้ำเพื่อหาพ่อแม่ พออยู่กลางหนองน้ำลูกปูก็รวบรวมพลังใช้ก้ามปูหนีบคอนกกระสาจนขาดใจตาย ตกลงมากลางหนองน้ำ
ลูกปูบอกเรื่องราวต่าง ๆ ให้พ่อกับแม่ฟัง ทำให้ปู ปลา สัตว์น้ำในหนองน้ำแห่งนั้นอยู่ที่เดิมอย่างมีความสุขตลอดไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
. ไม่ควรหลงเชื่อสิ่งใดง่าย ๆ โดยไม่ใช้สติปัญญาคิดหาเหตุผลให้รอบคอบเสียก่อน
. การรู้จักคิดหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อถึงคราวคับขันย่อมสามารถเอาตัวรอดได้
. การคิดรอบคอบและหาทางป้องกันไว้ก่อน จะได้เปรียบกว่าการตั้งรับฝ่ายเดียว


ที่มา: ดร.กุสุมา รักษมณี. (๒๕๓๘). นิทานวานบอก. พิมพ์ครั้งที่ ๒.
กรุงเทพมหานคร : บริษัทพับลิคบิสเนสพรินท์.









คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. เพราะเหตุใด นกกระสาจึงมีท่าทางซึมเศร้า
. ลูกปูใช้อุบายหลอดนกกระสาให้บินกลับมาที่หนองน้ำอีกครั้ง อย่างไร
. นกกระสาดกหกสัตว์น้ำ ว่าอย่างไร
. ทำไมนกกระสา จึงถูกลูกปูหนีบคอจนขาดใจตาย
. นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดอย่างไร

*************************

เรียนนิทานสำราญใจ

เรียนนิทานสำราญใจ
กระต่ายเจ้าปัญญา

เรื่องโดย พิมพา ฤทธิรณ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่ากว้างใหญ่แห่งหนึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์นานาชนิด ซึ่งอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาช้านาน
จนวันหนึ่งสัตว์ป่าต่าง ๆ เกิดความทุกข์ใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าอันตรายจะมาถึงตน เนื่องมาจากราชสีห์เจ้าป่าตัวหนึ่งได้ออกอาละวาดไล่จับสัตว์อื่นกินโดยไม่เลือกหน้า ด้วยความโหดร้ายไม่เว้นแม้แต่มดตัวเล็ก ๆ ใครขวางทางราชสีห์ฆ่ากินหมด จนทำให้จำนวนสัตว์ในป่านั้นลดน้อยทุกวันและเหลือน้อยเต็มที สัตว์ทั้งหลายที่เหลืออยู่รวมกับเจ้ากระต่ายตัวหนึ่ง ได้ตกลงกันในที่ประชุมว่าไม่ควรให้ราชสีห์ตัวนี้เที่ยวจับกินสัตว์ตามอำเภอใจ กระต่ายรับอาสาวิ่งไปบอกกับราชสีห์ว่าต่อไปนี้ “ ราชสีห์ไม่ต้องออกไปหากินให้ลำบาก พวกข้าจะจัดเวรกันมาเป็นอาหารให้กับท่านทุก ๆ เช้าและทุก ๆ วัน ” ราชสีห์ได้ฟังก็หลงเชื่อนึกดีใจดีเหมือนกัน ข้าจะรอพวกเจ้าจนถึงเช้าโดยไม่ออกไปทำร้ายสัตว์อื่น ๆ อีกต่อไป
เจ้ากระต่ายวิ่งกลับมาบอกเพื่อน ๆ สัตว์ด้วยความดีใจ สัตว์น้อยใหญ่ต่างก็รอดตายและนอนตาหลับในคืนนั้นตลอดคืนโดยไม่มีใครมารังแก
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่กระต่ายนัดกับราชสีห์ไว้ว่าจะไปให้ราชสีห์กินเป็นอาหาร ราชสีห์คอยอยู่ตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความหิวกระหายเป็นที่สุด ส่วนกระต่ายค่อย ๆ เดินไปอย่างช้า ๆ ถ่วงเวลาให้สายจนเลยเที่ยงให้ราชสีห์หิวจัดและโกธรมาก ๆ
เมื่อมาถึงราชสีห์ตะคอกถามกระต่ายว่า “ ทำไมเจ้ามาช้านัก ” กระต่ายตอบราชสีห์โดยใช้ปัญญา “ว่าข้าพยายามจะมาให้ท่านกินตั้งแต่เช้านั่นแหละ แต่ในขณะที่ข้าเดินทางมาข้าพบกับราชสีห์อีกตัวหนึ่ง มันจะกินข้าเช่นกันข้าบอกว่าไม่ได้หรอก ข้าต้องมาของอนุญาตท่านก่อนและมันยังฝากมาท้าท้ายท่านว่าให้ไปประลองกำลังกันว่า ใครจะได้เป็นเจ้าป่า ” ด้วยความโกรธราชสีห์จึงหลงเชื่อให้เจ้ากระต่ายพาไปพบผู้ท้าทาย
กระต่ายพาราชสีห์ไปยังหน้าผาสูงชันข้างล่างมีน้ำใส ราชสีห์ถามกระต่ายว่า“ ไหนล่ะมันอยู่ไหน” กระต่ายให้ราชสีห์มองลงไปในน้ำ ราชสีห์เห็นเงาราชสีห์อันใหญ่โตก็โกรธแค้นเป็นที่สุด กระโจนลงไปในน้ำหมายจะฆ่าผู้ท้าทายนั้นให้ตาย และทั้งคู่ก็จมหายไปกับกระแสน้ำในพริบตา
กระต่ายดีใจมากกระโดดโลดเต้นกลับไปบอกเพื่อน ๆ พวกเรารอดตายแล้ว


นิทานเรื่องนี้ ให้คติเตือนใจว่า
1. ความโกรธทำให้เราขาดสติ ขาดความยั้งคิด เหมือนคนตาบอด
2. อย่าหลงเงาตัวเอง หลงอำนาจ สักวันภัยจะมาถึงตัว
3. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขปัญหาพาให้สังคมอยู่อย่างสงบสุขได้

ที่มา: ดร.กุสุมา รักษมณี. (๒๕๓๘). นิทานวานบอก. พิมพ์ครั้งที่ ๒.
กรุงเทพมหานคร : บริษัทพับลิคบิสเนสพรินท์.

คำถามประจำบท

คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
. เจ้าป่าหมายถึงใคร
. เจ้าป่ามีหน้าที่ อย่างไร
. ใครเป็นผู้ฆ่าราชสีห์ได้สำเร็จ
. ราชสีห์ตาย เพราะเหตุใด
. นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดอย่างไร

ศึกษารามเกียรคิ์

บทที่ ๕
เรื่องศึกษารามเกียรติ์ ตอนสุครีพหักฉัตร

พระนารายณ์ได้อวตารลงมาเป็นพระราม โอรสของท้าวทศรถ มีพระอนุชาชื่อพระลักษณ์ พระพรตและสัตรุด เมื่อพระรามเจริญวัยขึ้นได้อภิเษกกับนางสีดา ส่วนท้าวทศรถทรงชราภาพมากแล้ว จึงคิดจะทำพิธีมอบราชสมบัติให้พระรามครองกรุงอโยธยาแทนตน แต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้ทำพิธียกราชสมบัติ นางไกยเกษีซึ่งเป็นพระมเหสีองค์หนึ่งของท้าวทศรถ ได้ทูลขอให้พระพรตซึ่งเป็นโอรสของตนได้ขึ้นครองเมืองก่อน และให้พระรามออกผนวชเดินป่าเป็นเวลา ๑๔ ปี ท้าวทศรถต้องจำพระทัยยอมทำตามคำขอของนางไกยเกษี เพราะพระองค์เคยให้สัญญาว่า นางขอสิ่งใดก็จะให้ตามคำขอ เพื่อทดแทนที่นางเคยช่วยพระองค์เมื่อครั้งรบกับยักษ์ ปทูตทันต์เพลารถขาด นางไกยเกษีใช้แขนสอดต่างเพลารถ ทำให้ท้าวทศรถรบชนะยักษ์ เมื่อพระรามออกผนวชและเดินป่านางสีดาและพระลักษณ์ขอตามเสด็จไปด้วย ครั้งนั้นนางสำมนักขาน้องสาวของทศกัณฐ์มาพบพระรามก็หลงรัก แต่พระรามปฏิเสธนางสำมนักขาโกรธจึงคิดแก้แค้น และไปทูลให้ทศกัณฐ์ทราบถึงความงามของนางสีดา ทศกัณฐ์จึงให้มารีศแปลงกายเป็นกวางทอง มาลวงนางสีดาและพระราม เมื่อพระรามตามกวางทองไปในป่า ทศกัณฐ์จึงลักพานางสีดาไปไว้ในสวนที่กรุงลงกา พระรามออกตามหานางสีดาได้หนุมาน สุครีพและองคตเป็นทหารเอก มีลิงจากเมืองขีดขินและเมื่องท้าวมหาชมพูเป็นกองทัพ ครั้งนั้นหนุมานใช้หินถมทะเลทำทางให้กองทัพข้ามไปยังเมืองกรุงลงกา เมื่อกองทัพของพระรามไปถึง กรุงลงกาได้ตั้งพลับพลาที่นอกเมือง พระรามให้องคตถือพระราชสาส์นไปถึงทศกัณฐ์ เพื่อขอนางสีดากลับคืน แต่ทศกัณฐ์ไม่ยอมและสั่งให้เสนาเข้าจับองคต องคตจึงฆ่าเสนายักษ์ตายไป ๔ ตน ทำให้ทศกัณฐ์โกรธแค้นและอับอายมาก นึกขึ้นมาครั้งใดก็ยิ่งโกรธเหมือนหัวใจถูกเผาไหม้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์ จึงคิดที่จะนำฉัตรของท้าวจตุรพักตร์(ปู่ของทศกัณฐ์) มาใช้เพื่อการแก้แค้นพระราม
เมื่อปักขึ้นจะทำให้ท้องฟ้าฝ่ายศัตรูมืดมิดมองไม่เห็นฝ่ายตน แต่ฝ่ายของทศกัณฐ์สามารถมองเห็นได้ จากนั้นจะได้ให้ทหารยักษ์เข้าโจมตีทัพของพระรามภายหลัง คิดดังนั้นจึงสั่งให้เสนายักษ์ทำพิธีปักฉัตรของท้าวจตุรพักตร์ โดยจัดพิธีบูชาฉัตรด้วยเครื่องบูชาอันมีอาหารประเภทเนื้อ ปลา เป็นต้นพร้อมด้วยเทียนเงิน เทียนทอง ข้าวตอกดอกไม้ เมื่อได้กำหนดเวลาอันเหมาะสม บรรดายักษก็โห่ร้องทำพิธียกฉัตรขึ้นไว้กลางกรุงลงกา ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดมิดเหมือนเวลากลางคืน
เมื่อเสร็จพิธียกฉัตรแล้ว ทศกัณฐ์ก็ออกจากพิธี เข้าอาบน้ำชำระร่างกายซึ่งปรุงแต่งด้วยเครื่องหอมดอกไม้นานาชนิด เสร็จแล้วแต่งกายด้วยเครื่องทรงอันประกอบด้วยผ้านุ่งที่มีชายผ้าทอด้วยเส้นทอง ตัวเสื้อทำด้วยผ้าพื้นประดับทองเป็นรูปดอกไม้ ผ้าห้อยประดับหน้า เรียกว่าชายไหว ชายแครงประดับด้วยทองคาดเอว ด้วยผ้าที่งดงามยิ่งนัก เครื่องประดับตรงหน้าอกและสายสร้อยล้วนแวววาวด้วยเพชรนิลจินดา สวมมงกุฏแก้วทัดดอกกรรเจียก มีอาวุธครบมือทั้งยี่สิบมือ
แต่งกายเสร็จแล้วก็ชวนนางมณโฑออกไปดูความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เหล่านางสนมทั้งหลายก็ตามมาด้วย ทศกัณฐ์และเหล่านางสนมก็มาถึงที่นั่งใต้ฉัตรแก้ว บริเวณนั้นก็สว่างไสวไปด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ เพื่อรอดูทัพของพระรามที่กำลังยกมา นางมณโฑซึ่งเป็นเมียของทศกัณฐ์มองเห็นกองทัพของพระราม ซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตารมา ก็สังเกตเห็นว่าทหารที่ยกมานั้นมากมายแน่นขนัด ล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือเก่งกล้าสามารถทั้งสิ้น ได้แก่ สุครีพ ชมพูพาน หนุมาน
องคต ซึ่งล้วนทราบดีว่าเป็นเทวดาลงมาเกิดทั้งนั้น เขาเหล่านี้มีความสามารถที่จะยกสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ สามารถพลิกมหาสมุทรหรือพลิกแผ่นดินได้อย่างง่ายดาย นางมณโฑนั้นตกใจจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี จึงหันมาบอกกับทศกัณฐ์ว่า สองพี่น้อง คือพระรามกับพระลักษณ์นั่นเป็นโอรสของท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยา เป็นหลานของท้าวอัชนา ซึ่งมีฤทธิ์เดชและศรอันศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดิน นางมณโฑขอร้องทศกัณฐ์ให้คิดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำศึกกับทัพของพระราม
เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินก็ยิ้มแล้วตอบไปว่า อย่ากลัวไปเลย เพราะทศกัณฐ์นั้นก็ได้ชื่อว่ามีฤทธิ์เดชเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสิบทิศ ว่าไม่มีใครสู้ได้จะไปกลัวทำไมกับมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว เหมือนตัวไรตัวหนึ่งเพียงแต่ใช้พลทหารยักษ์ออกไปปราบพวกลิงป่าเหล่านั้นก็จะตกเป็นเหยื่อถูกยักษ์จับเคี้ยวกินจนหมดภายในพริบตา
ฝ่ายกองทัพลิงของพระรามเห็นท้องฟ้ามืดมิดไปหมดเหมือนเป็นเวลากลางคืน เป็นที่น่าแปลกประหลาดเช่นนั้นต่างก็ตกใจร้องเรียกหากันดังลั่น บ้างก็วิ่ง บ้างก็คลานวุ่นวายไปหมด ต่างตกใจแทบสิ้นสติ พระรามซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าทหาร เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดมิดและเหล่าทหารลิงชุลมุนวุ่นวายดังนั้น ก็คิดสงสัยคิดว่าเป็นกลอุบายของศัตรู ยิ่งคิดก็ยิ่งประหลาดใจจึงถามพิเภกถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น พิเภกจึงตอบว่าสาเหตุเกิดจากฝ่ายของทศกัณฐ์คิดจะลอบโจมตีกองทัพของพระราม จึงให้ยกฉัตรวิเศษบังแสงอาทิตย์ไว้ให้ฝ่ายกองทัพของพระรามมองไม่เห็นกองทัพยักษ์ แต่พวกยักษ์จะมองเห็นกองทัพของพระรามอได้อย่างชัดเจน และยังบอกอีกว่าฉัตรดังกล่าวเป็นฉัตรของท้าวจตุรพักตร์ ปู่ของทศกัณฐ์ ให้ไว้อยู่คู่กรุงลงกา
ดังนั้นจึงควรรีบแก้ไขโดยให้ผู้ที่เก่งกล้าสามารถไปหักฉัตรเสียโดยเร็ว พระรามเมื่อได้ฟังพิเภกบอกดังนั้น จึงถามเหล่าทหารมีใครกล้าไปหักฉัตรของ
ทศกัณฐ์บ้าง สุครีพซึ่งเป็นลูกของพระอาทิตย์เมื่อได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่าเมื่อครั้งก่อนหนุมานเป็นผู้อาสานำแหวนไปถวายนางสีดา ส่วนองคตก็อาสานำสาส์นไปถวายทศกัณฐ์เพื่อทวงนางสีดา มาครั้งนี้ตนอาสาไปหักฉัตรเอง พระรามเห็นสุครีพอาสาด้วยความเต็มใจ ดังนั้นจึงกล่าวอวยพรอย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเมตตา ว่าสุครีพเป็นผู้ที่มีความสามารถขอให้ประสบความสำเร็จกลับมา
เมื่อสุครีพรับพรจากพระรามแล้วก็รีบออกมาแสดงอิทธิฤทธิ์เสียงดังไปทุกทิศแล้วเหาะไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เหมือนพายุเพียงแค่ดีดนิ้วมือ ก็มาถึงกรุงลงกา มองเห็นฉัตรตั้งอยู่กลางเมือง ส่วนทศกัณฐ์นั้นนั่งอยู่ท่ามกลางบรรดานางสนมและเหล่าเสนายักษ์ สุครีพจึงคิดได้ว่าถ้าจะเข้าไปหักฉัตรทันทีด้วยวิธีธรรมดาคงต้องเกิดการต่อสู้ล้มตายเป็นศึกใหญ่แน่นอน และอาจทำให้เสียงานที่ได้รับมอบหมายมาก็ได้ คิดได้ดังนั้นจึงร่ายมนตร์บังตากำบังร่างกายไว้ แล้วเนรมิตร่างกายให้ใหญ่เท่าภูเขา เหล่าทหารยักษ์ไม่สามารถมองเห็นร่างกายของสุครีพ สุครีพจึงเดินผ่านเสนายักษ์ไปได้อย่างสบาย
พระเสื้อเมืองประจำกรุงลงกา พอมองเห็นลิงตัวใหญ่เท่าภูเขา สูงเทียมฟ้า ดังนั้นก็ตกใจแทบสิ้นสติ กลัวความตายจนตัวสั่น ไม่กล้าแม้แต่มองหน้าสุครีพ ใช้มือปิดตาหนีลนลานจากเมืองไปให้ไกลสุดโลก เมื่อสุครีพกำบังกายเดินมาถึงบริเวณปักฉัตร ยืนอยู่หน้าทศกัณฐ์ จากนั้นจึวร่ายเวทย์เพื่อคลายมนตร์กำบังกายกวัดแกว่งพระขรรค์ไปมา แล้วชี้หน้าทศกัณฐ์พร้อมประกาศว่าทศกัณฐ์นั้นเก่งมากที่คิดจะทำศึกกับพระราม ซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตาร ถ้าเก่งจริงทำไมจึงไม่กล้ามาต่อสู้ หรือเกรงกลัวศรพระราม ตัวสุครีพเองก็เป็นผู้ที่พระรามใช้ให้มาจับตัวผู้ที่คิดและบังอาจกระทำการร้ายครั้งนี้ เพื่อสั่งสอนให้เข็ดหลาบ
เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินดังนั้นก็โกรธมากพร้อมกระทืบเท้า แล้วร้องตวาดเสียงดังลั่นว่า สุครีพนั้นโง่ที่หลงตนเองว่าเก่ง อีกทั้งไม่อายที่ไปยกย่องมนุษย์และอวดอ้างว่าเป็นพระนารยณ์อวตาร ทศกัณฐ์นั้นไม่ได้กลัวเลย แม้พาลีก็ยังถูกฆ่าตายมาแล้ว ดังนั้นสุครีพอวดกล้ามาต่อสู้กับตนแล้วก็ไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้ สุครีพก็รีบตอบทศกัณฐ์ทันทีเช่นกันว่า ถึงแม้ทศกัณฐ์จะมีถึงยี่สิยมือ ก็อย่าอวดเก่งต่อสู้กับพระรามเลย ตัวสุครีพเองซึ่งเป็นทหารของพระรามจะขอต่อสู้ก่อน เพื่อไม่ให้เดือดร้อนถึงพระราม กล่าวดังนั้นแล้วก็กระทืบเท้าลั่นทำให้กรุงลงกาสะเทือนเหมือนกำลังจะจมลงใต้มหาสมุทร แกว่งพระขรรค์เหาะขึ้นไปบนฉัตร
ฝ่ายนาสนมกำนัลยักษ์ทั้งหลาย เห็นสุครีพบุกรุกเข้ามาดังนั้น ก็ตกใจหนีกันวุ่นวาย ต่างล้มลุกคลุกคลานตะเกียกตะกายหนีหน้าซีดตัวสั่น บ้างก็กอดทศกัณฐ์ บ้างก็กอดตามกงฉัตรไว้แน่น ต่างหวีดร้องเรียกหากัน บ้างก็แขนหัก ขาหัก ร้องไห้แทบสิ้นสติ ส่วนทศกัณฐ์นั้นไม่รู้จะต่อสู้กับสุครีพท่าใด เพราะเหลือเพียงข้างเดียวที่พอจะจับอาวุธสู้ได้ จึงวิ่งวนไปตามกงฉัตรมือหนึ่งก็กอดนางมณโฑไว้ อีกมือหนึ่งก็กอดนางอัคคีไว้ ส่วนอีกสิบเจ็ดมือก็อุ้มนางสนมกำนัลไว้ ดังนั้นมือข้างเดียวที่เหลือก็ได้แต่แกว่งพระขรรค์ไปมา เมื่อสุครีพเห็นทศกัณฐ์ทำท่าสู้พลางถอยพลาง จึงรีบรุกจู่โจมใช้เท้าขวาถีบถูกทศกัณฐ์จนเซไป แล้วเข้าประชิดตัวแกล้งจู่โจมทำท่าว่าจะแย่งนางมณโฑไป ครั้นพอเข้าไปใกล้ก็แกล้งคว้าผิดคว้าถูก พร้อมกับหัวเราะเยาะเย้ยไปด้วย ทศกัณฐ์นั้นไม่มีจิตใจที่จะต่อสู้ เพราะมือทั้งสิบเก้ามัวแต่ระวังนางสนมกำนัล มีเพียงมือข้างเดียวที่จับพระขรรค์ต่อสู้ ครั้นจะฟันจะแทงก็ไม่ถนัด ได้แต่ป้องกันตัวพร้อมกับถอยหนีวุ่นวาย สุครีพต่อสู้อย่างเต็มที่จนเข้าประชิดตัวทศกัณฐ์ได้ ทั้งฟันทั้งแทงถูก
ทศกัณฐ์ไปหลายครั้ง ตั้งใจจะฆ่าให้ตาย
ทศกัณฐ์ต่อสู้ด้วยมือเพียงข้างเดียวจนแทบหมดแรง อีกทั้งได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลจึงคิดถอย ฝ่ายสุครีพเมื่อเห็นทศกัณฐ์เสียที จึงใช้เท้าถีบทศกัณฐ์ไว้แล้วเหาะขึ้นกลางอากาศ โน้มฉัตรลงมาแล้วหักฉัตรทันที ทสกัณฐ์และนางสนมต่างล้มกลิ้งบนพื้น ร้องเสียงดังลั่นไปหมด เมื่อฉัตรแก้วพังพินาศลง
ดังนั้นอากาศทั้งฝ่ายกองทัพของพระรามก็พลันแจ่มใสขึ้นทันทีเช่นกัน สุครีพใช้เท้าขวาคีบมงกุฏของทศกัณฐ์ไว้ แล้วร้องเยาะเย้ยให้ได้อายว่าตนจะฆ่าทศกัณฐ์เสียก็ได้ แต่เกรงว่าจะเป็นการกระทำที่นอกเหนือจากคำสั่งของพระราม ดังนั้นตนจึงขอนำมงกุฎไปถวายแทน จากนั้นก็เหาะกลับไปยังที่ประทับของพระรามทันที
เมื่อไปถึงก็เข้าเฝ้าแล้วรายงานให้พระรามทราบ ว่าตนได้อาสาไปหักฉัตรกรุงลงกานั้น ได้ทำการสำเร็จแล้ว และได้ต่อสู้กับทศกัณฐ์ แต่ไม่กล้าฆ่าเพราะเกรงว่าจะเป็นการกระทำโดนพลการ จึงได้แต่เพียงนำมงกุฎของทศกัณฐ์มาถวายเท่านั้น เมื่อพระรามได้ฟังและเห็นมงกุฎของทศกัณฐ์ที่สุครีพนำมาถวายก็ดีใจกล่าวชื่นชมสุครีพที่อาสาไปหักฉัตร แล้วทำได้สำเร็จในครั้งนี้นับว่าเป็นผู้มีความสามารถมาก สมกับได้ชื่อว่าเป็นลูกพระอาทิตย์ ชื่อเสียงจะเลื่องลือกันไปทั่วสามโลก คือ สวรรค์ มนุษย์และบาดาล กล่าวจบก็ชวนพระลักษณ์เดินเข้าไปที่ประทับ

แบบคำถามท้ายเรื่อง

คำชี้แจง สำหรับนักเรียนฝึกตอบคำถามหลังจากอ่านจบเรื่องแล้ว

๑. เพราะเหตุใดพระรามจึงยกทัพมากรุงลงกา
๒. ทำไมทศกัณฐ์ จึงโกรธแค้นพระรามมาก
๓. ทศกัณฐ์ใช้แผนการรบกับพระรามอย่างไร
๔. อานุภาพของฉัตรแก้ว เป็นอย่างไร
๕. สุครีพเข้ากรุงลงการ โดยวิธีใด
๖. ทำไมทศกัณฐ์ จึงต่อสู้กับสุครีพไม่ได้
๗. สุครีพนำสิ่งใดมาถวายพระราม ที่แสดงถึงชัยชนะ
๘. พระรามชมเชยสุครีพ ว่าอย่างไร


บรรณานุกรม

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๖). หนังสือเรียนภาษาไทย
ชุด พื้นฐานภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ:
คุรุสภาลาดพร้าว.
ณัฐิณา โตประเสริฐพงศ์. (ม.ป.ป.). คู่มือเตรียมสอบภาษาไทย ป.๕ – ๖
กรุงเทพฯ: เนรมิตการพิมพ์.
ราชบัณฑิตย์สถาน. (๒๕๔๖). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์.